Krampus แครมปัส
ด้านมืดที่จำเป็นของ Santa Claus ซานตาคลอส
แครมปัส หรือครัมปัส Krampus คือปีศาจวันคริสต์มาสตามความเชื่อแถบยุโรปกลางเช่น ออสเตรีย เยอรมัน และฮังการี
แครมปัสเป็นปีศาจที่กระหายเลือด ร่างปกคลุมด้วยขนยาวรุงรัง มีเขายาวโง้ง เขี้ยวแหลมคม ในวันคริสต์มาส แครมปัสจะมาพร้อมนักบุญนิโคลัส
แต่แครมปัสจะไม่ให้ของขวัญ แต่มันมาเพื่อลงโทษเด็กไม่ดี
ว่ากันว่า มันเคยจับเด็กยัดลงกระสอบ แล้วโยนทิ้งไปในแม่น้ำ
รูปลักษณ์ของแครมปัสที่คล้าย "Satyr" น่าจะพัฒนามาจากเทพ "Cernunnos" หรือเทพ "Pan" โบราณ
หนังเรื่องแครมปัส ปีศาจแสบป่วนวันหรรษา สะท้อนให้เห็นว่า พระเจ้า นักบุญ ซานต้า เป็นตัวแทนด้านสว่าง ส่วน ซาตาน แครมปัส ปีศาจเป็นตัวแทนด้านมืด ซึ่งเป็นแนวคิดที่รองรับหลักการหยินหยางของลัทธิเต๋าของจีนเหมือนว่าธรรมชาตินั้นมีสองด้านเสมอ ดังนั้นการส่งเสริมพฤติกรรมเชิงบวกจากนักบุญเป็นสิ่งที่เด็กทุกคนยินดี แต่ก็มาพร้อมกับการลงโทษของปีศาจแครมปัสที่จะมาจัดการกับเด็กไม่ดีเสมอ
แสดงว่าฝรั่งก็ไม่ได้โลกสวยเท่านั้น พวกเขาไม่เชื่อแต่การส่งเสริมพฤติกรรมเชิงบวกให้รางวัลอย่างเดียว แต่ต้องมีการลงโทษเพื่อสอนให้เด็กมีความรับผิดชอบและรู้จักยอมรับเมื่อตนทำผิดด้วย
ด้านมืดที่จำเป็นของ Santa Claus ซานตาคลอส
แครมปัส หรือครัมปัส Krampus คือปีศาจวันคริสต์มาสตามความเชื่อแถบยุโรปกลางเช่น ออสเตรีย เยอรมัน และฮังการี
แครมปัสเป็นปีศาจที่กระหายเลือด ร่างปกคลุมด้วยขนยาวรุงรัง มีเขายาวโง้ง เขี้ยวแหลมคม ในวันคริสต์มาส แครมปัสจะมาพร้อมนักบุญนิโคลัส
แต่แครมปัสจะไม่ให้ของขวัญ แต่มันมาเพื่อลงโทษเด็กไม่ดี
ว่ากันว่า มันเคยจับเด็กยัดลงกระสอบ แล้วโยนทิ้งไปในแม่น้ำ
รูปลักษณ์ของแครมปัสที่คล้าย "Satyr" น่าจะพัฒนามาจากเทพ "Cernunnos" หรือเทพ "Pan" โบราณ
หนังเรื่องแครมปัส ปีศาจแสบป่วนวันหรรษา สะท้อนให้เห็นว่า พระเจ้า นักบุญ ซานต้า เป็นตัวแทนด้านสว่าง ส่วน ซาตาน แครมปัส ปีศาจเป็นตัวแทนด้านมืด ซึ่งเป็นแนวคิดที่รองรับหลักการหยินหยางของลัทธิเต๋าของจีนเหมือนว่าธรรมชาตินั้นมีสองด้านเสมอ ดังนั้นการส่งเสริมพฤติกรรมเชิงบวกจากนักบุญเป็นสิ่งที่เด็กทุกคนยินดี แต่ก็มาพร้อมกับการลงโทษของปีศาจแครมปัสที่จะมาจัดการกับเด็กไม่ดีเสมอ
แสดงว่าฝรั่งก็ไม่ได้โลกสวยเท่านั้น พวกเขาไม่เชื่อแต่การส่งเสริมพฤติกรรมเชิงบวกให้รางวัลอย่างเดียว แต่ต้องมีการลงโทษเพื่อสอนให้เด็กมีความรับผิดชอบและรู้จักยอมรับเมื่อตนทำผิดด้วย
เห็นข่าวการสัมมนาหัวข้อเมืองไทยไม่ตีเด็กอ้างว่าการตีเด็กจะทำให้เด็กโกรธแค้นและหยุดพัฒนาการของเด็ก ซึ่งก็เป็นความจริงแน่นอนถ้าเป็นการตีเด็กโดยปราศจากเหตุผล และความจริงถ้าถึงจะลงโทษเด็กที่ดื้อด้านไปเด็กก็อาจจะยอมรับการลงโทษจากผู้ที่มีอำนาจมากกว่าแต่ไม่ยอมรับผิด สิ่งสำคัญคือการใช้เหตุผลและส่งเสริมพฤติกรรมเชิงบวกให้เด็กมีความรับผิดชอบด้วย
หวังว่าจะไม่มีผู้ใหญ่เข้าใจผิดว่าไม่ตีลูกเลยพอ แต่ลืมส่งเสริมศีลธรรมอันดีให้กับเด็กด้วย
เพราะประเทศที่พัฒนาแล้วที่ยังตีเด็กอยู่ก็มีประชากรที่มีคุณภาพได้ เพราะเขามีผู้ใหญ่ที่มีความรับผิดชอบเป็นต้นแบบที่ดีให้เด็กเห็น มีการจัดการทางสังคมที่ดีกว่า และมีกฎหมายที่มีความศักดิ์สิทธิและยุติธรรมกว่าของเรา
สมัยก่อนพ่อแม่ก็ตีลูก และเด็กยากจนที่ไม่มีพ่อแม่ก็ถูกตี แต่หลายคนก็กลายเป็นผู้ใหญ่ที่ดีและมีคุณธรรมได้ นั้นก็คงเพราะว่าเขาไม่ถูกทำร้ายด้วยการตีแบบเอาเป็นเอาตาย แต่ถูกสอนให้รู้จักผิดชอบชั่วดีจากการตีที่มีเหตุผล
เมื่อนึกถึงสังคมที่ไม่ตีเด็กแบบบางประเทศก็คงคิดได้ว่าเป็นสังคมที่ดีน่าอยู่ แต่เมืองไทยพร้อมแล้วหรือที่จะเป็นสังคมแบบนั้น มันจะเป็นการเห็นช้างขี้ขี้ตามช้างหรือไม่ ปรัชญาใหม่ของการศึกษาที่ดีนิยมเอามาจากเมืองนอกกันนักแต่ส่วนใหญ่ใช้ไม่ได้กับธรรมชาติของเด็กไทย และทำให้การศึกษาไทยล้มเหลวแบบดิ่งเหวมาจนทุกวันนี้ น่าจะตื่นกันได้แล้ว
ถ้าจะใช้สังคมไทยไม่ตีเด็กจริงดี แต่มีมาตรการและสิ่งใดมารองรับให้กับการจัดการกับปัญหาเด็กที่ไม่สามารถใช้พฤติกรรมเชิงบวกแก้ไขปัญหาได้เท่านั้น เพราะเด็กบางคน ถึงหลายคนมีปัญหามาจากรากฐานของครอบครัว ปัญหาทางสังคม ฯลฯ ที่เด็กฝรั่งในสังคมไม่ตีเด็กกัน เขาไม่มีกันแล้ว
ควรจะทำการวิจัยเรื่องนี้อย่างจริงใจ และจริงจัง ไม่ใช่เพียงยอมรับผลทดลองของฝรั่งในสังคมของเขามาใช้ และไม่ใช่จากกลุ่มทดลองที่ครอบครัวดีพร้อมทุก ๆ ด้านที่เป็นแต่เด็กในเมืองใหญ่เท่านั้น แต่น่าจะให้ความสำคัญกับเด็กชนบทที่ห่างไกล เด็กที่มีปัญหาความยากจน หรือด้อยโอกาสทางสังคมเพื่อหากระบวนการที่แท้จริง ที่จะนำไปสู่สังคมไทยที่ไม่ต้องตีเด็กได้จริง ไม่ใช่แต่เป็นนักวิจัยโลกสวยสีชมพูเท่านั้น
......
ปล. ถาม..1) การไม่ตีเด็กในประเทศที่เจริญเพียงบางประเทศดี แต่หวังว่าจะไม่ใช่การเห็นช้างขี้ขี้ตามช้างใช่ไหม? และ 2) ผู้ใหญ่ พ่อแม่จะต้องมีจิตวิทยาในการเลี้ยงลูกทุกบ้านในเมืองไทย เราพร้อมกันแล้ว..จริงหรือ? 3) จะไม่เกิดเหตุการณ์แบบญี่ปุ่นที่ไม่ตีเด็ก แต่ทิ้งลูกไว้ในป่าหรือ?
ขอเป็นความจริงจากบริบททางสังคมไทย ทุก ๆ แง่มุมของสังคม โดยเฉพาะเด็กด้อยโอกาส เด็กพิเศษ เด็กที่มีปัญหาทางสังคมและครอบครัว ฯลฯ ด้วยนะ ใช้ความเชื่อ และอคติจากนักวิจัยอย่างเดียวคงใช้ไม่ได้จริงกับสังคมไทยประเภทพ่อแม่รังแกฉัน
เพราะแค่การออกกฎห้ามตีเด็กไม่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างแท้จริง แต่กระบวนการที่จะนำสังคมไทยไปสู่สังคมที่พร้อมสำหรับการเป็นสังคมที่ไม่ตีเด็กนั้นต่างหากที่สำคัญกว่า
เพราะแค่การออกกฎห้ามตีเด็กไม่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างแท้จริง แต่กระบวนการที่จะนำสังคมไทยไปสู่สังคมที่พร้อมสำหรับการเป็นสังคมที่ไม่ตีเด็กนั้นต่างหากที่สำคัญกว่า
....สุขสันต์เทศกาลคริสต์มาส และปีใหม่ ที่หลายโรงเรียนกำลังจัดกันอยู่
ขอบคุณครับพึ่งได้ติดตาม ชอบมาก
ตอบลบ