วันเสาร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

พระอภัยมณีของจริงกับปลอม

(ปรากฏการณ์ผิดกันทั้งแผ่นดิน)

..................................................
ความรู้ออนไลน์นั้นสะดวกและรวดเร็ว แต่ถ้าความรู้นั้นเป็นความรู้ที่ผิดพลาด

ก็จะทำให้คนส่วนใหญ่ที่ใช้สื่อออนไลน์นั้นผิดตามกัน จนกลายเป็นผิดทั้งแผ่นดินก็ได้

เป็นที่น่าตกใจว่า บทกวีนิพนธ์ไทยโบราณหลายบทมีผู้หวังดีดัดแปลงแก้ไขให้ไพเราะยิ่งขึ้น

และอีกหลายบทก็กล่าวถึงที่มา และชื่อผู้แต่งผิดคน

ยกตัวอย่างอย่างเช่นบทกวีนิพนธ์โบราณที่มีใครต่อหลายคนเข้าใจผิดว่ามาจากเรื่องพระอภัยมณีที่ว่า

....................

การนินทากาเลเหมือนเทน้ำ
ไม่ชอกช้ำเหมือนเอามีดลงขีดหิน
พี่อาสามาสู้กู้แผ่นดิน
เขารู้สิ้นแล้วว่ารักภัคินี

(ในเรื่องพระอภัยมณีของจริง)

.......

อันนินทากาเลเหมือน เทน้ำ
ไม่ชอกช้ำหมือนเอามีด มากรีดหิน
แม้องค์ปฏิมา ยังราคิน
คนเดิน ดินหรือจะสี้น คนนินทา

(ไม่มีในเรื่องพระอภัยมณีของปลอม)
..................................
ซึ่งในหนังสือประวัติวรรณคดีก็ว่าในเรื่องพระอภัยมณีนั้นมีแค่ว่า

การนินทากาเลเหมือนเทน้ำ
ไม่ชอกช้ำเหมือนเอามีดลงขีดหิน

ส่วนบทที่สองไม่ได้มีอยู่ในเรื่องพระอภัยมณีเลย แต่นักเรียน นักศึกษา ก็ยังท่องกันมาว่าบทที่ผิดนั้น

แม้องค์ปฏิมา ยังราคิน
คนเดิน ดินหรือจะสี้น คนนินทา

มาจากเรื่องพระอภัยมณี และที่น่าตกใจคือ ครูอาจารย์ปัจจุบันก็ยังสอนกันผิด ๆ ทำให้เกิดปรากฏการณ์ผิดกันทั้งแผ่นดิน ในแวดวงวิชาการ

ที่มา http://image.dek-d.com/27/0200/7828/115816131

บทกวีของสุนทรภู่ที่ถูกดัดแปลงปรับเปลี่ยนเพิ่มเติม
อีกบทคือ

แม้เนื้อเย็นเป็นห้วงมหรรณพ
พี่ขอพบศรีสวัสดิ์เป็นมัจฉา
แม้เป็นบัวตัวพี่เป็นภุมรา
เชยผกาโกสุมประทุมทอง

แม้เป็นถ้ำอำไพใคร่เป็นหงส์
จะร่อนลงสิงสู่เป็นคู่สอง
ขอติดตามทรามสงวนนวลละออง
เป็นคู่ครองพิศวาสทุกชาติไป

(เพลงปลอมเนื้อร้อง..หรือดัดแปลงจากกลอนในเรื่องพระอภัยมณีของสุนทรภู่)
..................................
ของจริงของแท้ที่สุนทรภู่แต่งจริง

แม้เนื้อเย็นเป็นห้วงมหรรณพ
พี่ขอพบศรีสวัสดิ์เป็นมัจฉา
แม้เป็นบัวตัวพี่เป็นภุมรา
เชยผกาโกสุมปทุมทอง

เจ้าเป็นถ้ำอำไพขอให้พี่
เป็นราชสีห์สิ่งสู่เป็นคู่สอง
จะติดตามทรามสงวนนวลละออง
เป็นคู่ครองพิศวาสทุกชาติไป

(ที่ปรากฏในเรื่องพระอภัยมณีจริง ๆ)
...........................

จริงอยู่ที่เพลงและการดัดแปลงบทกวีของ กวีที่มีชื่อเสียงทำให้ไพเราะยิ่งขึ้น

เป็นเรื่องดี แต่ถ้าจะเอาไปสอนเด็กควรบอกด้วยว่าเป็นบทกวีที่ดัดแปลงแต่งเสริมเติมแต่ง

เพราะต้องให้เกียรติกวี ผู้เป็นเจ้าของแต่เดิม ดังเช่นบทกวีเหล่านี้ที่ไม่ใช่ของท่านครูสุนทรภู่

แท้ ๆ ก็ต้องบอกด้วยว่าเป็นของดัดแปลงมาไม่ใช่ของแท้ 

ไม่ใช่ว่าสักแต่ว่าไหว้ท่านในวันสุนทรภู่ แต่ก็เอาบทกวีนิพนธ์ของท่านมา ทำมิดีมิร้ายอย่างไรก็ได้

นี่หรือชาวไทยผู้ยกย่องและเคารพครูสุนทรภู่ เป็นครูกวีไทย???

สักแต่ว่าเคารพตาม ๆ กันมาเท่านั้นหรือ?

วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2558

กระจกที่หายไปของ “ทามาโมะ”


เคียวเด็น เดินทางมาทำสารคดีเกี่ยวกับเรื่องลึกลับในป่าหมอกเมฆพรายเพื่อไปทำเป็นวิดีโอแนะนำสถานที่น่าสนใจในท้องถิ่นของตนตามที่ครูมอบหมายให้เป็นการบ้านภาคฤดูร้อน กับเพื่อน  ในขณะที่เคียวเด็น เดินแยกสำรวจพื้นที่ถ่ายทำอยู่ ให้บริเวณกองหินหลาย ๆ กองที่ชายป่า ตามความเชื่อของคนในพื้นที่แถบนี้ที่ก่อไว้เพื่อส่งวิญญาณผู้ตาย ที่นั้นเขาได้พบลูกสุนัขจิ้งจอกขาวดูน่ารัก และเชื่องมากจึงได้เล่นหยอกล้อกับมัน และก็ได้เผลอเดินตามมันเข้าไปในป่า แต่แล้วหมอกก็ลงจัด และเขาก็หลงทาง ในป่าจนค่ำเขาเหนื่อยอ่อนและหวาดกลัว ทันใดนั้นเขาก็เห็นสตรีในชุดกิโมโนคนหนึ่งเดินผ่านไปในป่า
เขาดีใจมากพยายามเรียกเธอ

เคียวเด็น:  พี่สาว! พี่สาว! ช่วยด้วยครับ ผมหลงทาง

แต่เหมือนเธอไม่ได้ยิน แล้วเธอก็เดินเร็วมาก ยิ่งเดินก็ยิ่งลึกในป่า ด้วยความเหนื่อยและต้องการกลับบ้าน เคียวเด็นจึงได้วิ่งโผนเข้าไปหาเธอ ทันที และนั้นก็เป็นสิ่งที่เขาจำได้เป็นสิ่งสุดท้าย
ก่อนที่ตัวเขาจะนอนชุ่มเลือดแน่นิ่งเหมือนจะถูกตรึงด้วยหมุดเหล็กยักษ์คือความตายที่ปรากฏเป็นรูปสุนัขจิ้งจอกขาว ซึ่งมันกำลังกลืนกินร่างกาย และหัวใจของเขาที่เหนื่อยอ่อนด้วยความเจ้าปวดทรมานที่ได้พ้นไปในไม่ช้าพร้อมกับชีวิตของเขา



ภาพที่ ๑ วาดวันที่ ๑๔ /๖ / ๒๕๕๗
.............................................

“กองหนึ่งเพื่อพ่อ สองก่อเพื่อแม่ แลสามญาติข้า ฝ่าฝั่งอนธการ น่านน้ำยมโลก  สิ้นโศกอาดูร” เสียงเพลงพื้นบ้านที่คุณยายโออินาริร้องบ่อย ๆ เพื่อกล่อมเจ้าจิ้งจอกน้อยที่ตนเลี้ยงไว้
ทำให้ลูกสุนัขจิ้งจอกขาว ตัวน้อยค่อยซึมซับ เรียนรู้ความหมายที่ละน้อย “ทามาโมะ” เป็นลูกสุนัขจิ้งจอกที่คุณยาย โออินาริ เก็บมาเลี้ยงเนื่องจากความสงสาร หลังจากที่พวกพรานป่าได้ล่าสุนัจจิ้งจอกขาวบนภูเขา “ป่าหมอกเมฆพราย” เพื่อนำหนังสุนัขจิ้งจอก และสัตว์ป่าต่าง ๆ มาใช้ทำขนสัตว์ ทำให้ญาติ ๆ และเพื่อนที่เป็นสัตว์ป่าของจิ้งจอกน้อย ล้มหายตายจากเป็นจำนวนมาก และทำให้เธอพลัดหลงกับครอบครัว จนโดนพรานเฒ่าที่ชื่อ “คามิ” ซึ่งเป็นคนที่มีนิสัยแปลกจับได้ เนื่องจากเธอยังตัวเล็กเกินไปกว่าจะฆ่าถลกหนังสัตว์ได้ คามิจึงคิดจะเลี้ยงเจ้าจิ้งจอกน้อยให้โตขึ้นจากนั้นค่อยฆ่าทิ้งถลกหนังมาทำเป็นเสื้อขนสัตว์ ซึ่งปกติชาวบ้านป่าในสมัยนั้นไม่คิดทำกัน อะไรหาได้จากบ้านได้อย่างไรก็เอาไปใช้อย่างนั้นถ้าใช้ไม่ได้ก็ทิ้งหรือฆ่าทิ้งไป แต่เนื่องจากพรานเฒ่าคามิเป็นคนที่ชอบทำตัวไม่เหมือนใคร จึงนำเธอมาเลี้ยงซึ่งเป็นเหตุให้เธอรอดตาย และ ทำให้คุณยาย โออินาริ ซึ่งเป็นภรรยาของพรานเฒ่าคามิต้องดูแลเลี้ยงดู เจ้าจิ้งจอกน้อย “ทามาโมะ”
เมื่อทามาโมะอยู่กับคุณยาย โออินาริ  เป็นเวลานานเจ้าจิ้งจอกน้อยก็ได้ซึมซับความเป็นมนุษย์และก็ผูกพันกันกับคุณยาย มาก จนทำให้คุณยายไม่ต้องการให้พรานเฒ่าคามิ ฆ่าทามาโมะทำให้ทั้งสองทะเละกันบ่อย วันหนึ่งได้ปีหนึ่งพรานเฒ่าคามิได้เข้าไปหาของในป่าและก็หายไป ไม่กลับมาอีกเลย ทำให้คุณยายซึมเศร้าและคิดโทษว่าเป็นความผิดของตนเสมอ เวลานั้น พ่อ คิวบิโนะ และแม่โยโกะ ของทามาโมะ ได้ตามหาตัวบุตรสาวจนเจอ และเรียกร้องให้ ทามาโมะกลับไปอยู่กลับฝูงจิ้งจอก แต่ทามาโมะไม่อาจจะทิ้งคุณยาย โออินาริไปได้ จึงได้ยังอยู่กับคุณยายโออินาริไม่ยอมกลับไป ในช่วงเวลานั้นคุณยายโออินาริก็ทำเหมือน ทามาโมะเป็นลูกของตนจริง ใส่เสื้อผ้าให้กับทามาโมะ ให้ทามาโมะเดิน นั่งนอน เหมือนกลับมนุษย์ และพูดคุยกับทามาโมะเหมือนทามาโมะ พูดได้เพื่อทดแทนความเสียใจที่ต้องสูญเสียคุณตาคามิไป แต่ทามาโมะก็เป็นแค่สุนัขจิ้งจอก วันหนึ่งทามาโมะ จึงวิงวอนต่อเทพเจ้าบนสวรรค์และขอให้ตนนั้นได้กลายเป็นมนุษย์เพื่อดูแลคุณยาย และเช้าวันหนึ่งคุณยายโออินาริก็พบว่าเจ้าจิ้งจอกน้อยได้กลายเป็น เด็กสาวน่ารัก ขึ้นมาจริง ๆ
 คุณยายโออินาริ : “ เธอเป็นใคร”
ทามาโมะ :  “หนูชื่อ ทามาโมะ เป็นจิ้งจอกน้อยที่คุณยายเลี้ยงไว้”
คุณยายโออินาริ :  “เป็นไปได้หรือ? หนูเป็นใครทำไมมาหรอกฉัน เจ้าจิ้งจอกน้อยไปไหน?”
ทามาโมะ :  “หนูเป็นจิ้งจอกน้อยของคุณยายจริงๆ หนูกลายเป็นคนแล้ว จะได้ดูแลคุณยาย”
คุณยายโออินาริ :  “เป็นไปได้หรือ?”
ทามาโมะ  : “หนูเป็นจิ้งจอกน้อยของคุณยายจริง ๆ จ้ะ!”
คุณยายโออินาริ :  “เมื่อกี้หนู หนูชื่อว่าอะไรนะ”
ทามาโมะ :  “หนูชื่อทามาโมะ จ้ะ!”
คุณยายโออินาริ :  “ทามาโมะ.........ทามาโมะ”  คุณยายพูดย้ำอยู่อย่างนั้น
จากนั้นทามาโมะก็อยู่ดูแลคุณยายด้วนจิตใจบริสุทธิ์มานานหลายปี ทำให้คุณยายนึกรักทามาโมะเหมือนว่าเป็นหลานสาวของตนจริง ๆ จนวันหนึ่งมีพระนิกายเซ็น ชื่อกันจิ ธุดงค์ผ่านมาที่ป่าหมอกเมฆพราย ทามาโมะก็ให้การเคารพและดูและอย่างดีตามการสอนสั่งของคุณยายโออินาริ ทำให้พระกันจิประทับใจมาก และเมื่อรู้เรื่องราวความเป็นมาของทามาโมะก็ยิ่งประทับใจจนทำนายว่า ทามาโมะ จะได้แต่งงานกับบุรุษทิ่ยิ่งใหญ่ในอนาคต ทำให้ทามาโมะ ครุ่นคิดแต่สิ่งนี้จนเกิดความเชื่อว่าสิ่งนี้คือชะตาชีวิตของเธอเอง
ฝ่ายพระกันจิเมื่อกลับลงจากเขามาบิณฑบาต ในหมู่บ้านก็ได้เล่าเรื่องความดีที่น่าประทับใจของทามาโมะให้กับครอบครัวชาวนาที่ยากจนผู้มาใส่บาตรให้ตนฟัง แล้วครอบครัวชาวนา ก็เล่าเรื่องนี้ให้กับเพื่อนบ้านฟัง เพื่อนบ้านก็นำไปเล่าให้กับหัวหน้าหมู่บ้าน หมู่บ้านเมื่อได้พบกับเพื่อนที่เป็นทหารของท่านขุนนางท่านหนึ่ง ก็เล่าเรื่องความดีของทามาโมะ
ให้ทหารท่านนั้นฟัง ทหารท่านนั้นก็เอาไปเล่าให้เจ้านายของตนฟัง เมื่อเห็นว่าเป็นเรื่องแปลก ขุนนางท่านนั้นก็นำไปเล่าให้เพื่อนขุนนางในวงเหล้าฟัง เพื่อนขุนนางในวงเหล้า ก็นำไปเล่าให้ท่านโชกุนที่เป็นเจ้านายของตนฟังอีกต่อหนึ่ง และต่อมาท่านโชกุนก็เล่าต่อ ๆ กันไปถึงท่านโชกุนท่านอื่น สุดท้ายก็รู้ไปถึงหูพระจักรพรรดิในที่สุด ที่ได้รับรู้คำเล่าลือที่ว่า
“ทามาโมะ เป็นนางฟ้ามาจากดวงจันทร์เช่นเดียวกับเจ้าหญิงคางุยะ ฮิเมะ  ผู้มีความงดงามเหนือมนุษย์ มีคุณสมบัติและความดีเหมาะสมที่จะเป็นพระสนมของพระองค์”
ซามูไรคนสนิท อาเบะ เล่าให้องค์จักรพรรดิโทบะฟัง
ดังนั้นพระจักรพรรดิ จึงให้จัดเตรียมกระบวนเสด็จที่มีทหาร ๘๐๐๐๐ เดินทางไปป่าหมอกเมฆพรายที่ตำบลนาสุ เพื่อไปรับว่าที่เจ้าสาวคนใหม่ของพระองค์ เจ้าหญิงทามาโมะ


ภาพที่ ๒ วาดวันที่ ๑๔ /๖ / ๒๕๕๗
.......................
เนื่องจากเดินทัพในสมัยเวลาต้องจัดเตรียมสิ่งของจำนวนมาก และมีพระราชพิธีที่ยุ่งยากมากมาย เป็นเวลานับเดือนก่อนออกเดินทางสำหรับกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ แต่ข่าวเรื่องที่ “ทามาโมะ” จะได้กลายเป็นพระสนมคนใหม่นั้นได้แพร่ไปทั่วทุกตำบลบ้านเมืองแล้ว พระจักรพรรดิเกรงว่าว่าที่เจ้าสาวของตนอาจจะถูกโจรป่าในสมัยนั้นลักพาตัวเพื่อเรียกค่าถ่าย และเพื่อความปลอดภัยของเจ้าสาว ดังนั้นพระองค์จึงส่งซามุไรคนสนิทของพระองค์ท่านข้าหลวง “อาเบะ” ไปดูแลความเรียบร้อยแบบลับ ๆ  ในวันหนึ่งที่ ทามาโมะ กำลังเก็บเห็ดป่าเพื่อไปทำซุปเห็ดให้คุณยายกิน ก็ได้พบชายแปลกหน้าเป็นครั้งแรก
อาเบะ  :   เจ้าเป็นใคร???
ทามาโมะ :   ข้าชื่อ “ทามาโมะ” เป็นหลานคุณยายโออินาริ
อาเบะตกใจเล็กน้อย
อาเบะ :   เจ้าเป็นหลานจริงของคุณยายโออินาริจริง ๆ หรือ?
ทามาโมะ :  คุณยายโออินาริเก็บข้ามาเลี้ยง ข้าจึงต้องรักและดูแลคุณยาย
ลุงเป็นใครเข้ามาในป่านี้ทำไม?
อาเบะ  : ข้าก็แค่คนที่เดินทางผ่านมา........(แล้ว อาเบะ ก็จากไป)
จากนั้นไม่นานข่าวความงามของ ทามาโมะ ว่าที่พระสนมขององค์จักรพรรดิ ก็ได้เป็นที่รู้กันทั่วภายในหมู่บ้าน มีชาวบ้านมากมายอยากจะมาชื่นชมความงามของ “ทามาโมะ” ทำให้ทามาโมะหวาดกลัวด้วยสัญชาตญาณเดิมของสัตว์ป่า ที่ทามาโมะไม่เคยรู้สึกมานานแล้ว เหมือนกับวันที่พวกชาวบ้านขึ้นเขามาล่าสุนัขจิ้งจอก ทำให้คุณยายโออินาริเป็นห่วงมากและพยายามซ่อน ทามาโมะ ไม่ให้ไอ้พวกชาวบ้าน หรือผู้ชายทุกคนที่ไม่คู่ควรกับทามาโมะพบเห็น จนกว่าพระจักรพรรดิจากมารับตัวทามาโมะไปเป็นเจ้าสาว ซึ่งคุณยายก็คงต้องตามไปดูแล และใช้ชีวิตในวังกับหลาน ทามาโมะของตนแน่ คุณยายคิดอย่างนั้น ดังนั้นจึงให้ทามาโมะ อยู่แต่ในบ้าน ใส่หมวกคลุมหน้าและใส่ชุดเจ้าสาวลายดอกซากุระสีขาวตัดกับพื้นฟ้าสีน้ำเงินเข้ม ดูสวยงามที่สุด เท่าที่ผู้ใหญ่บ้านระดมเงินของพวกชาวบ้านที่พอมีฐานะเพื่อซื้อชุดเจ้าสาวที่ดีที่สุดมาให้ทามาโมะใส่ โดยหวังว่าในอนาคต  พวกตนจะได้รับการสนับสนุนเป็นใหญ่เป็นโตจาก ทามาโมะ

ทุกๆ วัน ทามาโมะอยู่ในกระท่อมหลังน้อยบนเขากับคุณยาย แต่ชุดเจ้าสาวปิดหน้าอยู่แต่ในบ้าน มียายเฒ่าโออินาริ ที่กลับกลายเป็นผู้ดูแลทามาโมะเสียเองอีกครั้งหนึ่ง บางครั้งทำให้ทามาโมะหวนคิดถึงอดีต และรู้สึกว่าตนได้กลับกลายเป็นลูกสุนัขจิ้งจอกอีกครั้ง ทามาโมะอึดอัดมาก แต่ก็ต้องอดทนรอให้พระจักรพรรดิมารับไปเป็นเจ้าสาว ตามที่คุณยายโออินาริพร่ำสอน โดยส่วนตัวเธอก็มีความคิดหวังลึก ๆ ว่าหากได้กลายเป็นเจ้าสาวของพระจักรพรรดิแล้วจะให้เธอได้กลายเป็นมนุษย์ หรือใกล้เคียงกับความเป็นมนุษย์มากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นความใฝ่ฝันของเธอยิ่งนัก
ทามาโมะ  :  คุณยายหนูเบื่อ และอดทนไม่ไหวแล้ว ขอให้หนูออกไปข้างนอกได้ไหม?...คะ
คุณยายโออินาริ :  ไม่ได้นะหนูจะต้องอยู่แต่ให้ห้องนี้ ข้างนอกมันไม่ปลอดภัย
ทามาโมะ :  แล้วเมื่อไหร่องค์จักรพรรดิจะเสด็จมารับหนูละคะ?
คุณยายโออินาริ  : “บังเอิญมันมีสงคราม พระองค์ต้องกีฑาทัพไปรบก่อนจ้ะ! ผู้ใหญ่บ้านบอกยายมา
ทามาโมะ  : แล้วพระองค์จะทรงปลอดภัยไหมคะ? ทามาโมะพูดทั้งน้ำตา
แล้วพระองค์จะเสด็จมารับหลานไหมคะ?
คุณยายโออินาริ  : “มาแน่ ๆ จะยายก็เชื่อว่าอย่างนั้น” แล้วยายโออินาริก็กอดคอหลานรักร้องไห้
“กองหนึ่งเพื่อพ่อ สองก่อเพื่อแม่ แลสามญาติข้า ฝ่าฝั่งอนธการ น่านน้ำยมโลก  สิ้นโศกอาดูร” คุณยายโออินาริร้องเพลงกล่อมหลานให้คลายความโศกในกระท่อมเล็กของตน ในขณะที่ทามาโมะร้องไห้จนน้ำตาจนเปื้อนกิโมโนแสนสวยนั้น ให้หม่นหมองลงบ้างเพียงเล็กน้อย



ภาพที่ ๓ วาดวันที่ ๑๔ /๖ / ๒๕๕๗
...................
สามปีผ่านไป จนคุณยาย โออินาริ จากโลกนี้ไป ทุกเช้าทามาโมะจะมาเยี่ยมคุณยาย ที่หลุมศพบนเนินต้นสนใหญ่ ใกล้กระท่อม ทามาโมะ จะยังแสนสวยด้วยชุดกิโมโนที่งดงามแม้หม่นหมองลงบ้างด้วยความเก่าและคราบน้ำตาของเธอตามคำขอร้องก่อนตายของคุณยายโออินาริ ที่เชื่อแม้ลมหายใจสุดท้ายว่าหลานสาวที่ตนรักจะได้แต่งงานกับพระจักรพรรดิ
 ในช่วงเวลานั้นความหวังเหมือนได้หมดสิ้นไปจากใจของเธอแล้ว ตอนเธอคิดที่จะกลับไปอยู่กับฝูงจิ้งจอก แต่เนื่องจากนางจากฝูงจิ้งจอกมานาน และมีกลิ่นไอของมนุษย์มากเกินไป ทำให้แม้แต่พ่อของ คิวบิโนะ ปีศาจจิ้งจอกเก้าหาง และแม่สุนัขจิ้งจอกสีทอง โยโกะ ก็ไม่ไว้ใจเธอ และไม่ต้องการให้เธอกลับมาอยู่ร่วมฝูงเหมือนสมัยที่เธอเป็นลูกสุนัขจิ้งจอกเล็ก ๆ
คิวบิโนะ :   เรารอลูกมานานมากแล้ว ประโยชน์อะไรที่ลูกจะกลับมาในตอนนี้?
โยโกะ :  ลูกโตแล้วและควรที่จะดูแลตนเองได้แล้ว
ทามาโมะ :  แต่ลูกลืมความเป็นจิ้งจอกไปแล้ว ลูกจะอยู่ปราศจากฝูงได้อย่างไร?
คิวบิโนะ :  ลูกจะต้องฆ่าความเป็นมนุษย์ในตัวลูก
โยโกะ :  เลือดและเนื้อของมนุษย์จะทำให้ลูกได้กลับเป็นจิ้งจอกอีก และถ้าลูกกลับเป็นจิ้งจอกได้อีกพวกเราก็ยินดีที่จะต้อนรับการกลับมาของลูก
ทามาโมะ :  ลูกทำไม่ได้หรอกจะ
คิวบิโนะ :  เช่นนั้นเจ้าก็ต้องอยู่คนเดียวในโลกของมนุษย์ต่อไป
จากนั้นทามาโมะก็จากฝูงจิ้งจอกปีศาจกลางไพรไปด้วยความสร้อยเศร้า ในขณะที่ทามาโมะกำลังร้องไห้อยู่กลางป่านั้นเอง
คนแปลหน้าที่หน้ากลัวคนหนึ่งก็ตรงเข้ามาหาเธอ ทำให้สัญชาตญาณของสัตว์ป่าได้เตือนให้รู้ว่าเธอกำลังจะมีภัย เธอจึงได้ฆ่าชายคนนั้นและควักหัวใจมากิน ไม่ผิดนิเธอก็แค่ป้องกันตัว เธอไม่ผิดกับความเป็นมนุษย์และยังได้รับรู้รสชาติของหัวใจมนุษย์อันแสนหวานแล้ว เธอก็จะได้กลับไปอยู่ในฝูงจิ้งจอกปีศาจอีกด้วย จากนั้นเธอจึงกลับไปแต่งตัวด้วยชุดกิโมโนที่สวยที่สุดให้วิญญาณของคุณยายโออินาริชื่นชมเป็นครั้งสุดท้าย หลังจากที่ไปสักการะหลุ่มศพของคุณยาย ทามาโมะก็เผากระท่อมทิ้งและพร้อมที่จะกลับคืนไปใช้ชีวิตในแดนไพร



รูปที่ ๔ วาดวันที่ ๑๔ /๖ / ๒๕๕๗
....................................
เหมือนสวรรค์แกล้งในขณะที่ เธอกำลังจะกลับไปสู่ป่าไปอยู่กับครอบครัวของเธอ  องค์จักรพรรดิก็เสด็จกลับมาจากสงครามแล้วก็ผ่านมาที่หมู่บ้านป่าหมอกเมฆพราย และก็ยังคงมีพระประสงค์จะรับทามาโมะไปเป็นเจ้าสาว ด้วยทรงหลงรักทามาโมะในจินตาการที่เต็มไปด้วยคำร่ำลือนานับประการทั้งรูปสมบัติและคุณสมบัติที่เหนือสตรีนางใดในโลกนี้ แต่ด้วยภาระราชการสงครามกับโชกุนและกบฏขุนนางในแดนเหนือ ทำให้พระองค์ต้องไปสงคราม แต่ในใจของพระองค์ก็ยังเฝ้าฝันถึงทามาโมะในใจเสมอ เมื่อเสด็จมาถึงและรู้ว่าคุณยายของทามาโมะตายแล้วและ กระท่อมของทามาโมะ ก็ถูกไฟไหม้ในวันนั้น พระองค์ก็ยิ่งตกพระทัย และสั่งให้ข้าราชบริพาร และชาวบ้านช่วยกันหา ทามาโมะ จนพบเธอกำลังเดินเหมือนคนเหม่อลอยอยู่ในป่าคนเดียว จึงรีบให้นำทามาโมะเข้าเฝ้าทันทีผิดจากราชประเพณีที่จะต้องมีการตรวจสอบต่าง ๆ นานาก่อน
ที่หน้าพลับพลาที่ประทับของพระจักรพรรดิ พระจักรพรรดิสั่งให้ทุกคนออกไป นานที่ทั้งสองนิ่งอยู่นาน
พระจักรพรรดิทรงตื่นเต้นที่จะพบกับนางแก้วในฝัน ในขณะที่ทามาโมะรู้สึกสับสนใจหนึ่งก็ดีใจที่ได้พบกับคืนวันที่รอคอยมานาน ใจหนึ่งก็เสียใจที่คุณยายไม่อยู่ในวัน พร้อมกับความกระอักกระอ่วนใจ ที่กระหายรสหวานจากหัวใจมนุษย์ ได้ยินแม้เสียงหัวใจเต้นที่เต็มไปด้วยความเสน่หา ขององค์จักรพรรดิ แล้วองค์จักรพรรดิก็เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ
องค์จักรพรรดิ :   “เปิดหน้าให้ฉันดูหน่อยสิ”
ทามาโมะ จึงเปิดผ้าปิดหน้าของตนให้องค์จักรพรรดิดูทันทีที่องค์จักรพรรดิเห็นก็ตื่นตะลึงกับความงามของทามาโมะจนช็อกล้มลงชัก ร่างกายชักกระตุกไปจนชนตะเกียงตกแตกทำให้เกิดไฟไหมฉากกั้นที่ทำด้วยไหมเนื้อดี แล้วข้าราชบริพารขุนทางต่าง ๆ ก็รีบเข้ามาอารักขา พระจักรพรรดิของพวกเขา ซามุไร หลายคนมองมาที่ ทามาโมะ อย่างหวาดกลัวและเกลียดชัง บางคนชักดาบออกมาส่งเสียงขู่และขับไล่ ทามาโมะ ที่มีความผิดเดียวคือ “เธอสวยเกินไป” เธอคิดเช่นนั้น
ทามาโมะ อาศัยหมอกที่หนาทึบในป่าหมอกเมฆพราย วิ่งหนีผ่านเนินต้นสน หลบทหารที่ไล่ล่าไปทางน้ำพุร้อนในป่า ซึ่งทหารซามุไรพวกนั้นกลายเป็นบ้าไปแล้ว นอกจากพวกมันจะตามไล่ล่า ทามาโมะผู้ปราศจากความผิดแล้ว พวกมันไล่ฆ่าพวกชาวบ้านทุกคนในหมู่บ้านด้วย และแล้วทามาโมะในชุดกิโมโนแสนสวยที่หลบนี้การไล่ล่าก็สะดุดล้มลงในป่า เมื่อมองขึ้นไปเธอก็เห็นเท้าคู่หนึ่งของใครด้านหน้า ท่านข้าหลวงอาเบะนั้นเอง
 เมื่ออาเบะพบกับทามาโมะในวันนั้นก็เก็บงำบางอย่างไว้เป็นความลับ ที่เขาไม่กล้าและกลัวเกินกว่าจะเปิดเผยความลับนั้นที่เป็นเสมือนความผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตของเขาเองที่อาจจะหมายถึงชีวิตและความภักดีต่อองค์จักรพรรดิของเขาด้วย แต่บังเอิญมีสงครามเกิดขึ้นเมื่อองค์จักรพรรดิต้องเสด็จไปเป็นขวัญกำลังใจให้ทหารแนวหน้าตามคำแนะนำของเขา เขาก็คิดว่าพระองค์จะลืมทามาโมะแล้วและความผิดที่เป็นความลับของเขาก็จะได้ลับไปตลอด แต่สุดท้ายพระองค์ก็เสด็จมาป่าหมอกเมฆพรายแห่งเมืองนาสึจนได้ ซึ่งตอนนี้เขาก็ไม่จำเป็นจะต้องเก็บความลับนี้ไว้แล้ว ท่านข้าหลวงอาเบะคนสนิทขององค์จักรพรรดิจึงยื่นกระจกส่องหน้าบานเล็ก ๆ สวยงามสำหรับส่องหน้าสตรี ให้ทามาโมะ

เมื่อทามาโมะมองเข้าไปในกระจก สิ่งที่ทามาโมะเห็นในกระจกนั้นทำให้ทามาโมะช็อกและเสียใจเป็นอย่างมาก จนทามาโมะไม่อาจอดกลั้นความทุกข์ระทมไว้ได้ จึงกรีดร้องจนกลายเป็นเสียงจิ้งจอกด้วยความเจ็บปวดใจอย่างเป็นที่สุด

ในขณะที่ อาเบะกำลังจะใช้ดาบตัดหัวเธอในทีเผลอ เพื่อเอาไปเป็นของชดเชยความผิดของตนและแสดงความภักดีต่อองค์จักรพรรดิ

ตอนนั้นเองพระรูปหนึ่ง นามว่าเกโนะ ก็ปรากฏตนขึ้นและสวดมนตร์ แผ่เมตตาให้กับดวงวิญญาณผู้ตายทั้งหลายในที่นั้น และแล้วหมอกในป่ากับภาพมายาต่าง ๆ ก็หายไป ปรากฏเบื้องหน้าเป็นหินสีดำก้อนใหญ่ที่ลงอักขระยันตร์มากมาย


ภาพที่ ๕ วาดวันที่ ๑๔ /๖ / ๒๕๕๗
..............................................
ในตอนเช้า ครอบครัวชาวนา ครอบครัวหนึ่งที่อยู่ในเมืองนาสึ ได้ดูรายการโทรทัศน์ในท้องถิ่นที่บอกเล่าเรื่องสยองขวัญเกี่ยวกับเด็กที่ชื่อ เคียวเด็น ไปเที่ยวกับกลุ่มเพื่อนในป่าแถบหินต้องสาป และพลัดหลงหายไป จนหลายวันต่อมา พบศพที่ถูกสัตว์ป่ากัดแทะจนเละ โดยเฉพาะที่สำคัญหัวใจของเขาได้หายไป ซึ่งข่าวแบบนี้มักจะปรากฏขึ้นมานานปีสักครั้งในพื้นที่แถบนี้  จนดูเป็นเรื่องปกติที่ผู้ใหญ่มักจะเตือนไม่ให้เด็ก ๆ เข้าไปในป่าหมอกเมฆพราย ซึ่งมักจะลือกันว่าเป็นที่อยู่ของวิญญาณที่กำลังจะเดินทางไปสู่ยมโลก และวิญญาณที่ไม่ยอมเดินทางไปสู่ยมโลก

“กองหนึ่งเพื่อพ่อ สองก่อเพื่อแม่ แลสามญาติข้า ฝ่าฝั่งอนธการ น่านน้ำยมโลก  สิ้นโศกอาดูร” เสียงเพลงพื้นบ้านที่ร้องขึ้นตามประเพณีการก่อกองหินเพื่อส่งวิญญาณของผู้เสียชีวิตให้ได้พบเส้นทางไปสู่สุขคติในโลกหน้า

พวกคุณคิดไหมว่า ....อะไรคือสิ่งที่ “ทามาโมะ”  เห็นในกระจก?
ไม่ว่าคุณจะมีคำตอบให้ตนเองเช่นใด....แต่ความจริงคำตอบนั้นก็ยังเป็นความลับมาถึงทุกวันนี้

ภาพที่ ๕ กระจกส่องหน้า
ที่มา http://www.weloveshopping.com/shop/cutielady/ETAC001.jpg
..............................



วันจันทร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2558

อดอย่างเสือ


๏ ถึงจนทนกัดก้อน…………………กินเกลือ
อย่าเที่ยวแล่เนื้อเถือ……….………พวกพ้อง
อดอยากเยี่ยงอย่างเสือ……………สงวนศักดิ์
โซก็เสาะใส่ท้อง……………………จับเนื้อกินเอง๚

………………………………(โลกนิติ)





.....................................
สมัยเด็กที่บ้านสอนเสมอว่า ไม่ให้ยืมเงินใคร
ในชีวิตนี้เคยยืมเงินเพื่อนที่ชื่อ “ทิวา” ครั้งเดียว
เพื่อซื้อหนังสือเรื่องพระกฤษณะ สมัยเรียน ป.ตรี
...................................
ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้
ก็ไม่เคยมีความคิดที่จะยืมเงินเพื่อนคนไหนอีกเลย
.........................................
ดังนั้นถ้ามีข้อความจากหน้า facebook  หรือ email
ส่งไปเพื่อยืมเงินใคร ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน หรือลูกศิษย์คนไหน
แสดงว่าโดนแฮก สารนั้นเป็นของปลอมและมาจากตัวปลอม
.......................................
มีน้อยใช้น้อยใช้ชีวิตแบบพอเพียงไม่นิยมสร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้าน

วันอาทิตย์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ไทยมีฤๅษีแปลงสาร อินเดียมีนางงามแปลงสาร (เรื่องพระจันทร์หรรษา ผู้ปราศจากความอาฆาตแค้น)


รูปที่ 1 อาณาจักรอินเดียใต้ สมัยคริสต์ศตวรรษที่ 3
ที่มา https://tamilandvedas.files.wordpress.com/2015/01/map-2.jpg

1.นางงามแปลงสาร จากวรรณกรรมบาลี
คือ เรื่องประวัติโฆษกะเศรษฐี แห่งโกสัมพี ในสุตตันตปิฏก ที่ถูกพ่อเลี้ยงพยายามฆ่าเพราะ ปุโรหิตทำนายว่าเกิดในฤกษ์ของเศรษฐีแห่งโกสัมพี เศรษฐีพยายามฆ่าเท่าใดก็ไม่สำเร็จในที่สุดก็ทำให้บุตรชายของตนเอง ผู้เป็นเด็กเคราะห์ร้ายตายแทน พ่อเลี้ยงจึงให้ โฆษกะนำจดหมายไปให้เพื่อนรักของตนในชนบท แต่บุตรสาวของเพื่อนเศรษฐีเกิดหลงรักโฆษกะเมื่อแรกพบด้วยบุพเพสันนิวาสในอดีตชาติ และนางได้แอบอ่านจดหมายจึงรู้ว่าข้อความในจดหมาย ให้พ่อของนางฆ่าโฆษกะ นางจึงฉีกจดหมายฉบับเดิมทิ้งและปลอมจดหมายใหม่ ว่าให้พ่อนางมอบนางให้แต่งงานกับโฆษกะ เมื่อพ่อเลี้ยงของโฆษกะรู้เข้าก็กระอักเลือดตาย ทรัพย์สมบัติทั้งหมดจึงตกเป็นของโฆษกะเศรษฐี และพระราชาจึงแต่งตั้งให้โฆษกะเศรษฐีเป็นเศรษฐีเมืองโกสัมพี
ภาพที่ 2 นิทานจันทรหสะ ฉบับสำนักพิมพ์อมรจิตรคาถา
ที่มา http://ak1.scstatic.net/1/cdn2-cont7.sweetcouch.com/141825582509918320-amar-chitra-katha-chandrahasa.jpg .............................
2. นางงามแปลงสาร จากวรรณกรรมสันสกฤต
เรื่องที่สอง คือเรื่องจันทรหาสะ (พระจันทร์หรรษา - พระจันทร์ยิ้มก็ว่า) เป็นเรื่องที่ปรากฏอยู่ในนิทานพื้นบ้านทางรัฐปัญจาบ ถึงมหาราชาที่เป็นเจ้าโลกของชาวปัญจาบชื่อ จันทรหาสะ ก่อนหน้านั้นในแคว้นปัญจาบ แบ่งเป็นสามอาณาจักรใหญ่ พระบิดาจันทรหาสะเป็นกษัตริย์หนึ่งในสามนั้น ภายหลังถูกฆ่าตาย เวลานั้นพระโอรส พระชนมายุเพียง ห้า พระชันษา ถูกกษัตริย์ที่เป็นข้าศึกที่ยึดเมืองได้ให้นำไปประหาร ในขณะที่เขาจะถึงนำตัวไปประหารเพชฌฆาต เกิดสงสารเลยปล่อยตัวไปในป่า ต่อมากษัตริย์อีกองค์ปรารถนาจะมีพระโอรสมาก แต่ไม่มีเมื่อพบเด็กน้อยน่ารักเลยรับไว้เป็นพระโอรสบุญธรรม เมื่อเขาโตขึ้นได้แต่งงานกับพระธิดาของกษัตริย์ที่ฆ่าพ่อของเขา และกลายเป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ซึ่งเรื่องราวอย่างนี้ได้ถูกพูดถึงและบอกเล่าเช่นกันในตอนท้ายเรื่อง มหาภารตะของรัฐกรรณาฏก โดยผสมผสานกับเรื่องราวของนางงามแปลงสารที่ปรากฏอยู่ในพระสุตตันตปิฏกเข้าไว้ด้วย โดยกล่าวว่า พระจันทรหาสะ นั้นคือมหากษัตรย์ของอาณาจักรกุนตลา อาณาจักรใหญ่ที่อยู่ทางภาคใต้ และมีอำนาจขึ้นไปถึงตอนใต้มหาราษฏระ ทางภาคตะวันตกของอินดีย ที่เรียกว่า โคมหาราษฏระ จันทปูร (จันทวตี ชื่อเก่า) รวมถึง โคกรรณาฏกะ แต่ด้วยเหตุที่เรื่องของจันทรหาสะ มีอยู่ในนิทานพื้นบ้านของปัญจาบด้วย จึงไม่แน่ว่าสมัยนั้น รัฐกุนตลาเคยมีอำนาจไปถึง ปัญจาบด้วยเช่นกัน
พระจันทรหาสะ นี้ลูกชาย ที่เรียกว่าพระโอรสสองคน คือ มักรากษะ เกิดกับนางวิษยา ผู้แปลงสารให้พระองค์ด้วยอุบัติเหตุรัก และ ปัทมากษะ เกิดกับนางจัมปกามาลินี ซึ่งเป็นราชธิดาของกษัตริย์กุนตลาองค์ก่อน
..............................................
เรื่อง พระจันทรหาสะ หรือ พระจันทร์หรรษา (ราชาพระจันทร์ยิ้ม)
โครงเรื่องดัดแปลงจากเรื่องพระเจ้าจันทรหาสะสาวกของพระวิษณุ ผู้ปราศจากความอาฆาตแค้น ในตอนท้ายของเรื่องมหาภารตะ ตอนปล่อยม้าอุปการ

..........................
....จะกล่าวถึงกุนตลามหาสถาน.........อันโอฬารในภารตจดทักษิณ
คือกรรณาฏกะธรณิน..................เหนือสุดสิ้นโคมะหาราษฏะรา
ทั้งจันทนะวตีบุรีศรี....................ไปถึงที่ปัญจาบจบกังขา
อาณาจักรใหญ่น้อยน้อมเข้ามา.............พึ่งมหาราชจันทรหสะกัน
พระอภัยไมตรีมีสงสาร................สร้างสมภารผ่อนคนโทษพ้นโมหัน
เป็นราชาเหนือกว่าจอมราชัญ .......ด้วยทรงธรรม์ทรงพร้อมทศบารมี
ข้าบาทราษฎร์ประชาชื่นใจแล้ว........พระยอดแก้วเกศกษัตริย์สมศักดิ์ศรี
พระเมตตาพาใจราษฎร์ให้ภักดี........เช่นดาวมีเดือนเด่นเฝ้าชวนชม
แม้เดือนห่างดาวก็ห่วงเฝ้าห่วงหา......รอบัญชาราชกิจทุกเสนาสนม
เป็นบพิตรพิศดูหมู่นิคม....................ใจพระห่มหายร้ายราษฎร
พระมีบุตรมะกะรากษะวรฤทธิ์..........ด้วยโสภิตวิษยาศรีสมร
กับปัทมากษะสุดอาทร.................จากนวลอ่อนจำปะกามาลินี
ต่างสามัคคีมีสุขทุกเช้าค่ำ...............ยุติธรรมทั้งจริงใจกระจ่างศรี
ช่วยราชกิจพระเป็นนิตย์ผิดไม่มี......เป็นดังศรีบุญสล้างข้างปวงชน
งามบ้านเมืองปราสาทประหลาดสร้าง......ประดับปรางค์ราชมณีดีทุกหน
หลังคาศิลาทาทองผ่องพิกล..............ไม่ขัดสนส่องสุกทุกคืนวัน
ทุกถนนหนเมืองเหมือนแมนสรวง.....ประดับดวงพวงรัตนาสวรรค์
ทั้งรูปทองเทพกัลยาเทวาอนันต์......งามสุขสันต์แสนวิไลในโลกา
เช้านาวาวานิชเข้าค้าขาย..............ดูหลากหลายล้านคนล้นคูหา
มากไม้ธาตุธัญพืชเพชรจินดา.........พร้อมภูษาโภชน์เภสัชเวชภัณฑ์
ยอดผ้าทองทอแกมเพชรพิไลสวย.....ดูล่ำรวยรุจิรสสดสีสัน
เอกผ้าฝ้ายขาวงามเขาชมกัน…………..ทั่วสุวรรณสี่ทวีปไว้ใจจริง
งามวัดวาอารามงามจริงหนา..........ศิลป์ศิลาผาหินสลักสิงห์
โคปุรัมค้ำตะง่านเงยหน้านิ่ง............ตะลึงพิงเสาเขาดูอยู่ทุกคน
ถึงเทศกาลทวาทศมาส..................ทุกปวงราษฎร์รื่นเริงทุกแห่งหน
เทวทาสีนารีเทพระบำบน..............เจ้าเสด็จด้นดีมิขาดดูราษฎรา
เกิดภาษิตรักษ์สลักไว้ในหลักหิน........เหนือธานินเทพนครในแดนฟ้า
คือโคกรรณาฏกะแห่งกุนตลา............เป็นมหานครสวรรค์ในแดนดิน

..........ฯลฯ.....

.......[พระจันทร์หรรษา โดย เอ็ม รุทรกุล เริ่มแต่งปี ค.ศ. 2011]

วันหนึ่งพระโอรสทั้งสองของเขาไปประพาส ป่าจึงได้พบกับ พระกฤษณะและอรชุน ซึ่งคุ้มม้าอุปการ มาเพื่อทำพิธีอัศวเมธให้กับยุธิษเฐียร เมื่อได้ขึ้นเป็นกษัตริย์เพราะฆ่าพวกเการพสิ้นแล้ว ทั้งสองจึงได้นำความไปบอกพระบิดาของพวกเขา พระจันทรหาสะ ซึ่งนับถือพระวิษณุ และรู้ว่าพระกฤษณะคือวิษณุอวตาร จึงรีบออกมาตอนรับขบวนม้าอุปการจัดพิธีเลี้ยงรับขวัญ และกระทำเป็นมิตรไมตรีกับอรุชน หลังจากที่มอบราชสมบัติให้กับ มักรากษะแล้วก็ติดตาม พระกฤษณะ และอรชุน รักษาม้าอุปการต่อไป
ส่วนเรื่องประวัติของ พระจันทรหาสะ ซึ่ง พระกฤษณะ เป็นผู้เล่าให้อรชุนฟังมีใจความพิสดารต่างออกไปว่า****
สมัยที่ กษัตริย์สุธรรมิกะ ของเกลารา ซึ่งบูชาพระวิษณุเพื่อขอลูก จึงได้ลูกชายที่ประทานจากพรของพระวิษณุ แต่ในขณะที่ลูกชายไม่ถึงปี ปรากฏว่าศัตรูได้ยกทัพมาประชิดเมือง เมื่อพระราชบิดาของเขา พระราชาสุธรรมิกะ ออกไปรบก็ตายในที่รบ ในสมัยนั้นเมื่อสามีตายภารยาจะต้องทำพิธีสตีคือเข้าไฟเผาไปกับศพของสามี นางเมธาวีกานดา จึงมอบลูกชายที่แบเบาะให้กับนางเฒ่าข้าเก่าที่ภักดี พาพระโอรสหนีไป และนางก็เข้าไฟตายตามสามีไปตามขัตติยราชประเพณีสมัยนั้น

....สิ้นพระสิ้นแผ่นดินสิ้นไอศวรรย์……..แม้ผูกพันแม้รักเจ้าดังชีวิต
จำต้องตายตามสตีพิธีกิจ.................จึงประสิทธิ์ประสาทเจ้าแก่แม่เฒ่า
โอ้ศรีกฤษณะหริรักษ์.....................ผู้พิทักษ์ทั่วฟ้าดินน้ำแลป่าเขา
โปรดคุ้มครองลูกนี้้ที่แสนเยาว์..........สั่งเสร็จเข้าไฟตายตามสวามี

..........ฯลฯ.....

.......[พระจันทร์หรรษา โดย เอ็ม รุทรกุล เริ่มแต่งปี ค.ศ. 2011]
ภาพที่ 3 นิทานจันทรหสะ ฉบับสำนักพิมพ์อมรจิตรคาถา 
ที่มา http://media.amarchitrakatha.com/media/catalog/product/cache/2/image/320x434/9df78eab33525d08d6e5fb8d27136e95/C/H/CHANDRAHASA_3_.1425073107.jpg
........................................




กล่าวถึงนางเฒ่า เมื่อได้หนีไฟสงครามมานั้นจึงหนีไปที่ อาณาจักรกุนตลา ที่อยู่ทางเหนือ (ทางเหนือของรัฐเกลารา คือรัฐกรรณาฏกะ ซึ่งในอดีตคือส่วนหนึ่งของแคว้นกุนตลา) นางได้ปิดบังฐานะที่แท้จริงของพระโอรส และใช้ชีวิตเยี่ยงขอทานด้วยความภักดี และในที่สุดเมื่อพระโอรสที่ใครก็คิดว่าเป็นหลานของนางอายุได้ห้าขวบ นางเฒ่าก็ถึงแก่ความตายไปอย่างสงบด้วยความชรา และความจน
......ชื่อว่าโชคชะตานี้มีประหลาด.............เป็นถึงราชบุตรามาขื่นขม
ไม่มีกินนอนดินผิดราชนิยม...............ใช่ทับถมแต่แม่เฒ่าเสียใจแทน
โอ้อกกูแกแล้วยังได้ยาก.....................ต้องพลัดพรากฝ่าไฟรบมาต่างแคว้น
มาถึงกุนตลาก็ต่างแดน......................ยิ่งโศกแสนถวายพระบุตรด้วยเศษทาน
แต่ด้วยรักภักดีเหนือเกสา...................จนตัวข้าขาดลมสิ้นสังขาร
จะรักษาลูกราชาเช่นชีวาน...................แสร้งว่าหลานหลบภัยไกลศัตรู
ห้าปีแล้วแม่เฒ่าจึงพ้นเศร้า..................เหลือแต่เจ้าบุตรน้อยคอยต่อสู้
กับชีวิตขอทานน้อยน่าเอ็นดู.................ตนไม่รู้เรื่องความหลังราชสกุล

..........ฯลฯ.....

.......[พระจันทร์หรรษา โดย เอ็ม รุทรกุล เริ่มแต่งปี ค.ศ. 2011]


แต่โชคยังดีที่พระโอรสได้รับความเมตตาจากชาวบ้าน ซึ่งคอยให้ทานอาหารเลี้ยงดูพระองค์ วันหนึ่งเมื่อพระองค์เห็นเด็กๆในหมู่บ้านเล่นทอยลูกหินนั้น (ในสุตตันตปิฏกว่า ลูกของพ่อเลี้ยง และโฆษกะ เองชอบเล่นคลีพนัน ในพระรถเมรีว่า พระรถเสนชอบตีไก่ โดยมีไก่เทวดาช่วยให้ชนะ) พระองค์อยากเล่นด้วยแต่ไม่มีลูกหิน จึงสวดถึงพระวิษณุ ซึ่งวันต่อมาพระองค์จึงพบกับลูกหินสีดำ (ที่จริงเป็นหินชนิดหนึ่งนิยมใช้ทำประคำสวดบูชาพระวิษณุ) และทำมาเล่นกับลูกชาวบ้านซึ่งหินอันนั้นทำให้พระองค์ชนะเสมอ จึงได้กลายเป็นหัวโจกของเด็กในหมู่บ้าน
วันหนึ่งเมื่อทุษฏพุทธิ มหามนตรีของกุนตลาจัดพิธีแจกทานแก่คนยากจน พระโอรสได้มารับทานด้วย เมื่อ คาลวัส ปุโรหิต เห็นลักษณะอันเป็นมงคลของพระโอรสกำพร้า จึงได้ให้คำทำนายว่า เด็กคนนี้จะได้เป็นมหากษัตริย์ของกุนตลาในอานาคต ทุษฎพุทธิ รู้เข้าก็ริษยาเพราะเข้ารู้ดีว่าวิกรมเสนา กษัตริย์ของกุนตลาไม่มีโอรส มีแต่ธิดา ซึ่งเขาหมายมั่นว่าจะให้ลูกชายของเขามันทนันแต่งกับนาง เพราะหวังในราชสมบัติของกุนตลา ดังนั้นจึงแอบใช้ให้มือสังหารไปจับพระโอรสกำพร้าไปฆ่าเสียในป่า

.....โอ้พระหริศรีนิวาสา......................ที่พึ่งพาถึงพันโลกที่โศกแสน
เขาจะฆ่าพาข้าไปในดงแดน............เพราะแล้งแค้นขาดญาติมิตรบุพการี
โปรดเอ็นดูเด็กน้อยน้อยที่พึ่่ง............อย่าต้องถึงกับตายกลายเป็นผี
ใช่คนโทษทำพิษผิดไม่มี.................เพียงเด็กดีเดินตรอกบอกหนทาง

..........ฯลฯ.....

......[พระจันทร์หรรษา โดย เอ็ม รุทรกุล เริ่มแต่งปีค.ศ.2011]

แต่พวกเพชฌฆาตมีจิตเมตตา จึงไม่ฆ่าพระโอรสกำพร้ำเพียงแต่ตัดนิ้วเท้าข้างซ้าย ของเขาที่เขามีถึงหกนิ้ว ออกนิ้วหนึ่่ง เพื่อนำไปรับรางวัลกับ ทุษฏพุทธิ ในขณะที่ทุษฏพุทธิมีความสุขที่คิดว่า พระโอรสกำพร้ำตายแล้วนั้น
แท้จริงพระโอรสกำพร้าได้รับการดูแลจากสัตว์ทั้งหลายในป่า ด้วยอำนาจบารมีของพระองค์ วันหนึ่งกษัตริย์ของจันทวตี ซึ่งเป็นญาติ กับกษัตริย์กุนตลามาประพาสป่า เพื่อพบพระโอรสกำพร้ำก็นึกรัก พระกษัตริย์ของจันทวตีไม่มีลูก จึงนำเขาไปเลี้ยงไว้เป็นลูก เมื่อพระมเหสีของกษัตริย์จันทวดี(ปัจจุบันคือ จันทปูร ) เห็นเขาครั้งแรกนึกรักเหมือนลูก และก็ชมว่าเวลาเขายิ้มเหมือนกับวังทั้งวังสว่างเย็นไปด้วยแสงจันทร์ เขาจึงได้ชื่อว่า จันทรหาสะ แปลว่า พระจันทร์หรรษา หรือ เดือนยิ้มได้
จัทรหสะเติบโตขึ้นและร่ำเรียนศิลปะวิทยาการของกษัตริย์เป็นที่่รักใคร่ของกษัตริย์และมเหสีแห่งกุนตลาจึงแต่งตั้งเขาเป็นยุวราช ต่อมาเมื่อ ทุษฏพุทธิมาเยี่ยม และทราบประวัติของจันทรหาสะจาก กษัตริย์ของ จันทวตี จึงนึกสงสัยเด็กกำพร้ำที่เขาวางแผ่นฆ่ายังไม่ตาย ประกอบกับเห็นรอยที่เป็นแผลจากการถูกตัดนิ้วที่หกที่เท้าข้างซ้ายของจันทรหาสะ จึงแน่ใจ ดังนั้น ทุษฏพุทธิจึงได้มอบสารปิดผนึกให้จันทรหาสะไปให้ลูกชายของเขา มันทนัน โดยข้อความในสารบอกให้มันทนันวางยาพิษจันทรหาสะ โดยกำชับว่าห้ามจันทรหาสะเปิดอ่านเด็ดขาดและให้ไปส่งแก่ลูกชายของเขาด้วยตนเองให้เร็วที่สุดแต่พวกเพชฆาตมีจิตเมตตา จึงไม่ฆ่าพระโอรสกำพร้ำเพียงแต่ตัดนิ้วเท้าของซ้าย ของเขาที่เขามีถึงหกนิ้ว ออกนิ้วหนึ่่ง เพื่อนำไปรับรางวัลกับ ทุษฏพุทธิ ในขณะที่ทุษฏพุทธิมีความสุขที่คิดว่า พระโอรสกำพร้ำตายแล้วนั้น พระองค์ได้รับการดูแลจากสัตว์ทั้งหลายในป่า ด้วยอำนาจบารมีของพระองค์ วันหนึ่งกษัตริย์ของจันทวตี ซึ่งเป็นญาติ กับกษัตริย์กุนตลามาประพาสป่า เพื่อพบพระโอรสกำพร้ำก็นึกรัก พระกษัตริย์ของจันทวตีไม่มีลูก จึงนำเขาไปเลี้ยงไว้เป็นลูก เมื่อมเหษีของกษัตริย์จันทวดี(ปัจจุบันคือ จันทปูร ) เห็นเขาครั้งแรกนึกรักเหมือนลูก และก็ชมว่าเวลาเขายิ้มเหมือนกับวังทั้งวังสว่างเย็นไปด้วยแสงจันทร์ เขาจึงได้ชื่อว่า จันทรหาสะ แปลว่า พระจันทร์หรรษา หรือ เดือนยิ้มได้
จัทรหสะตืบโตขึ้นและรำเรียนศิลปวิทยาการของกษัตริย์ เป็นที่่รักใคร่ของกษัตริย์และมเหษีแห่งกุนตลาจึงแต่งตั้งเขาเป็นยุวราช ต่อมาเมื่อ ทุษฏพุทธิมาเยียม และทราบประวัติของจันทรหาสะจาก กษัตริย์ของ จันทวตี จึงนึกสงสัยเด็กกำพร้ำที่เขาวางแผ่นฆ่ายังไม่ตาย ประกอบกับเห็นรอยที่เป็นแผลจากการถูกตัดนิ้วที่หกที่เท้าซ้ายของจันทรหาสะ จึงแน่ใจ ดังนั้น ทุษฏพุทธิจึงได้มอบสารปิดผนึกให้จันทรหาสะไปให้ลูกชายของเขา มันทนัน โดยข้อความในสารบอกให้มันทนันวางยาพิษจันทรหาสะ โดยกำชับว่าห้ามจันทรหาสะเปิดอ่านเด็ดขาดและให้ไปส่งแก่ลูกชายของเขาด้วยตนเองให้เร็วที่สุด

......แล้วคิดแผนร้ายกาจพิฆาตชีวิต...............ด้วยดวงจิตแค้นคิดริษยา
จึงเขียนความวานฆ่าในสารา...................แล้วเรียกหายุุวราชเยี่ยงญาติตน
โอ้จันทรบุรีมีศรีศักดิ์..............................เพราะลูกรักราชกิจประสิทธิ์ผล
แต่การส่งสารข้าขาดผู้คน........................แสนขัดสนข้าพึ่งเจ้าจงเข้าใจ

..........ฯลฯ.....

......[พระจันทร์หรรษา โดย เอ็ม รุทรกุล เริ่มแต่ง ค.ศ. 2011]

พระจันทรหาสะ จึงได้ทรงม้าฝีเท้าเร็วไปกุนตลาด้วยตนเอง แต่ในระหว่างทางที่ชานเมืองของกุนตลาเขารู้สึกเหนื่อย จึงแวะพักที่อุทยานแห่งหนึ่ง ระหว่างที่เขาหลับอยู่ วิษยาบุตรสาวของทุษฏพุทธิ มาเก็บดอกไม้ พอดี

. ...โอ้ว่ารักรักเอยอยู่ที่ไหน......................อยากจะไขว่คว้ามาชื่นชม
พระกามเทพฤาเทพอุ้มสม...................โปรดชี้ชมหนุ่มผู้ยวนใจ
เป็นสาวน้อยคอยรักจริงจึงไว้ท่า............ใครจะมาหมายมั่นหมั่นวินิจฉัย
แต่ศรรักปักแล้วอย่าแล้วไป..................จงเร่งให้ข้ารู้รักษารักเรา
ทั้งห้าศรม่วงมะลิบัวอโศก.....................มิอาจโยกแย้มรักปักอกเข้า
รักจะคลั่งรักจะพร่ำรักจะเอา..................เพราะรักเผาแผดพิษเพียงจิตกาม
ฤาว่ารักแท้จริงจะพันผูก.....................เคยร่วมฟูกปลูกรักร่วมชาติสาม
เป็นคู่บุญหนุนส่งจงมาตาม....................ในสนามแห่งรักของข้าเอย


..........ฯลฯ.....

.......[พระจันทร์หรรษา โดย เอ็ม รุทรกุล เริ่มแต่งปี ค.ศ. 2011]

เรื่องจันทรหสะ การแสดงยักษคณะของรัฐกัรนาฏกะ

และนางวิษยาก็ได้พบจันทรหาสะที่กำลังหลับอยู่ ก็นึกรักขึ้นมาทันที ฉะนั้นด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่าเขาเป็นใครจึงได้ แอบเอาจดหมายที่เขาติดตัวมาด้วยเปิดอ่าน
ในจดหมายนั้นเขียนว่า ชายที่ถือจดหมายจะกลายเป็นกษัตริย์ของกุนตลาในอนาคต ฉะนั้นไม่ต้องรอให้พ่อกลับ ให้มันทนัน ให้วิษะ (หมายถึง..ยาพิษ) แก่จันทรหาสะ ปล. ทุษฏพุทธิ

ด้วยความรักและการมองโลกในแง่ดี ของ วิษยาเธอจึงเข้าใจไปเองว่า พ่อของนางได้คัดเลือกผู้ที่จะมาเป็นสามีให้กับนางแล้ว แต่เขียนชื่อนางผิด นางจินตนาการว่าถ้า พี่ของนางซึ่งเป็นคนซื่อไม่รู้ก็จะวางยาพิษ ผู้ที่จะมาเป็นสามีในอนาคตของนาง นางจึงถือวิสาสะ เติม ยา ท้าย วิษะ กลายเป็น วิษยา (มีความหมายตรงกับคำว่า วิสัย, วิสัยทัศน์, น่ามอง , และงาม ฯ) ชื่อเต็มของนาง และแอบสอดคืนไว้ที่เดิม และก็จากไปพร้อมกับความฝันแสนหวานรอวันแต่งงานกับชายในฝันของนาง

ฉะนั้นเมื่อจันทรหาสะมอบจดหมายให้ มันทนัน พี่ของนางก็รีบจัดงานแต่งงานระหว่างนางวิษยา กับจันทรหาสะ ตามข้อความที่ว่า ให้ มันทนัน ให้วิษยา กับเขา(จันทรหาสะ) ทันทีก่อนพ่อกลับ หลังจากทุษฏพุทธิ กลับมาก็แค้นใจเป็นอันมาและคิดว่าจะต้องฆ่าจันทรหาสะให้ได้แม้ว่า ลูกสาวของเขาจะต้องกลายเป็นม่าย(หญิงม่ายในสมัยนั้นต้องเข้าไฟตายตามสามี แสดงว่าทุษฏพุทธิรักลูกชายมากกว่า) ทุษฏพุทธิ แต่ก็เก็บไว้ในใจไม่บอกใคร วันหนึ่งจึงใช่ให้จันทรหาสะ ไปบูชาเจ้าแม่จัณฑิกา(บางหนึ่งของทุรคาหรือกาลี) ที่วัดประจำตระกูลของเขาที่นอกเมืองในเวลาใกล้ค่ำ

ในวันนั้น วิกรมเสนา กษัตริย์ของกุนตลา เกิดนิมิตร้ายว่าไม่เห็นเงาหัวของตนในกระจก (ตรงกับความเชื่อไทย แต่ของเขาเป็นล่างที่ปรากฏในฝัน) จึงปรึกษากับปุโรหิต คาละวัส พระมหาปุโรหิต จึงแนะว่านั้นเป็นลางว่าวาระสุดท้ายของพระองค์ใกล้มาถึงแล้วสมควรที่จะไปเป็นสันยาสี บำเพ็ญตนในป่าได้แล้ว แต่วิกรมเสนาเป็นห่วงธิดาของตนที่ยังไม่แต่งงาน พระคาละวัส จึงแนะให้พระองค์จัดงานแต่งงานให้กับธิดาของพระองค์ นางจัมปกามาลินี กับจันทรหาสะ ซึ่งครั้งหนึ่งพระองค์เคยได้ทอดพระเนตรเห็น และคาละวัสทำนายไว้ว่า พระจันทรหาสะจะกลายเป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ในอนาคต วิกรมเสนาก็ตกลง คาลวัส จึงใช่ให้ มันทนันซึ่งมาทำงานราชการในสำนักเวลานั้นไปตามจันทรหาสะมาเฝ้าพระราชาโดยด่วน
มันทนันจึงรีบไปหา จันทรหาสะ เมื่อทราบจากวิษยา ว่าจันทรหาสะ ไปบูชาเจ้าแม่กาลีที่วัดชานเมือง ก็รีบควบม้าตามไป ไปดักจันทรหาสะได้ก่อนเข้าไปในวัดพอดี จึงให้จันทรหาสะ ขี่ม้าของตนไปรีบเฝ้าพระราชา ส่วนตนจะไปบูชาเจ้าแม่กาลีจัณฑิกาแทน เมื่อสับหน้าที่กันแล้ว

จันทรหาสะเข้าวังไปและได้แต่งกับ เจ้าหญิงจัมปกามาลินี และได้ราชสมบัติ ส่วน มันทนัน เมื่อเข้าไปในวัด ก็ถูกนักฆ่า ที่ทุษฏพุทธิสั่งไว้ให้ฆ่าชายที่มาบูชากาลีในเวลาใกล้ค่ำตีเสียจนตาย เมื่อจันทรหาสะ พาเจ้าหญิงจัมปกามาลินี มาคารวะ ทุษฏพุทธิตามธรรมเนียม ทุษฏพุทธิรู้เข้าจึงตกใจรีบวิ่งไปวัดเจ้าแม่กาลีจัณฑิกา แต่ก็ช้าไป ลูกชายเขาตายแล้ว ด้วยความเสียใจมากทุษฏพุทธิจึงฆ่าตัวตายตาม

....ได้สดับตรับฟังดังไฟจี........................ดวงฤดีลูกรักจักอาสัญ
รีบวิ่งไปวัดกาลีที่ไกลกัน......................แสนหุนหันจะเห็นใครไม่นำพา
..........ฯลฯ.....

......[พระจันทร์หรรษา โดย เอ็ม รุทรกุล เริ่มแต่งปี ค.ศ. 2011]


....โอ้! กุนตลามหาสถาน.........................จะต้องเวนไว้ให้เขาเมื่อเจ้าสิ้น
เสียแรงร่วมรบรักษาเป็นอาจิณ.............กับองค์ปิ่นวิกรมเสนา
ด้วยไฟแค้นแน่นอกอันเจ็บช้ำ..............เพราะว่ากรรมก่อผิดริษยา
คิดว่าอยู่ไปเป็นข้าเขาไม่นำพา..............จะไปหาลูกรักจะวายชนม์
จ่อหน้าแท่นจัณฑิกาเทวีนี้......................คิดจะพลีพร่ำถึงลูกเลือดตาล้น
แล้วจึงดึงกริชร่ายสุดท้ายแทงตน..............แท้ทุกข์ท้นทอดกายตายกับลูกยา
..........ฯลฯ.....
.
......[พระจันทร์หรรษา โดย เอ็ม รุทรกุล เริ่มแต่งปี ค.ศ. 2011]

ในตอนเช้าเมื่อจันทรหาสะมาดูที่วัด ก็พอจะคาดการณ์เหตุการณ์ทั้งหมดได้ แต่เนื่องจากเป็นคนจิตใจดี ไม่คิดผูกเวรกับใคร จึงสวดมนตร์อ้อนวอนให้เจ้าแม่กาลีจัณฑิกา คืนชีวิตให้พวกเขา พระแม่จัณฑิกา โปรดจันทรหาสะก็เลยประทานพรให้ ต่าง ๆ นานา และคืนชีพให้กับทุษฏพุทธิ และมันทนัน ซึ่งกลับกลายเป็นคนดีและมิตรของจันทรหาสะ

.....โอ้จัณฑิกามาริอัมมั่น....................ทั่วเทวัญวิสุทธิ์โลกล้วนเทิดเกล้า
โปรดมีมหาเมตตาต่อพวกเรา........ให้ชีพเขาแลลูกกับคืนคง
แม้นเขาชั่วตัวตายสลายโทษ...........อนึ่งโสตลูกซื่อส่งอานิสงส์
ให้ชีพข้ารักษาแล้วแลมั่นคง............เป็นผุยผงข้าเขาเคลือญาติกัน
ใยคิดแค้นเคืองเข็นเป็นอาเพศ..........ไม่ใช่เหตุห้ำหั่นให้โศกศัลย์
อภัยจิตพิชิตเวรเว้นโทษทัณฑ์............ย่อมสุขสันต์ศานติพร้อมทั้งครอบครัว
..........ฯลฯ.....
.
......[พระจันทร์หรรษา โดย เอ็ม รุทรกุล เริ่มแต่งปี ค.ศ. 2011]

.....เมื่อนั้น..........................................พระศิวะชายาน่าเกรงขาม
หัวเราะแลตอบไปตามงาม..................ว่าในสามโลกล้วนแล้งน้ำใจ
ยักษ์ประหลาดยังประหลาดไม่เท่าเจ้า......เมื่อถืออภัยธรรมแท้จริงไซร้
ข้าจะคืนชีพสองชนจงชอบใจ.................ให้เจ้าใช้เป็นข้าบาทราชการ
..........ฯลฯ.....
.
......[พระจันทร์หรรษา โดย เอ็ม รุทรกุล เริ่มแต่งปี ค.ศ. 2011]

จะเห็นได้ว่าเรื่องแนวคิดเรื่องบุพเพสันนิวาส บุญพาวาสนาส่ง นั้นเป็นแนวคิดเดียวกันกับพุทธศาสนาในสุตตันตปิฏกนิกายเพียงแต่เรื่องในวรรณกรรมฮินดูนั้นถูกดัดแปลงเรื่องให้โรแมนติกมากกว่า และมีการสอดแทรกลัทธิของพวกศักดิ์ในสมัยก่อนที่มีการฆ่าตัวเองหรือฆ่าผู้อื่น ซึ่งผิดหลักพุทธศาสนา เมื่อผมประสงค์จะนำเรื่องนี้มาพิมพ์แพร่หลายในอนาคตจึงได้ดัดแปลงในตอนท้ายไว้ว่า เจ้าแม่จัณฑิกาเองไม่ชอบ การบูชาเช่นนี้และสั่งให้เลิกเสีย เพื่อให้สอดคล้องกับหลักพุทธศาสนา และก็กลัวเนื่องด้วยเมื่อก่อนเคยมีข่าวว่าเคยมีคนดูเรื่องบ่วงกรรมทางช่องสามแล้วได้ฆ่าตัวตาย
ซึ่งดัดแปลงเช่นนี้ไม่รู้ว่าจะดีหรือไม่อย่างไร?

....ส่วนมนุษย์ยัญพิธีพลีชีพนี้…………………….อันได้มีในมนุษย์สุดสลด
จงละสิ้นถือศีลบำเพ็ญพรต……………………….จึงรู้รสธรรมมงคลชีวิต
แต่นี้ไปฆ่าตัวหรือฆ่าเขา…………………………..จะถือเอาเป็นเครื่องเซ่นไซร้อย่าคิด
อันความตายของฝูงชนพรหมลิขิต…………….ผู้ถือผิดย่อมถือบาปเบื้องโลกันตร์
..........ฯลฯ.....
.
......[พระจันทร์หรรษา โดย เอ็ม รุทรกุล เริ่มแต่ง ค.ศ. 2011]


ในเรื่องพระจันทร์หรรษาที่ผมเขียนขึ้นนี้ ต้องการมุ่งสำหรับใจในการเป็นบทสนทนาในละครที่มีการแสดงภารตนาฏยัม พื้่นฐานอย่างง่าย ๆ จึงมีแต่บทบรรยายกับเจรจาเป็นส่วนมาก ไม่มีบทชมนก ชมไม้ ชมรถ ชมดง หรือบทร้องใดๆขั้น เพราะต้องการเอาจะใช้เพลงของภารตนาฏยัม มาขั้นแท่น ซึ่งไม่รู้ว่าจะเป็นการเขียนแบบผิดครูรู้เปล่า จึงต้องขอกราบอภัยมา ณ ที่นี้


......จบสิบสองค่ำคืนพระจันทร์หรรษา............กับดาวอารทะที่เรียกขาน
ปีสองพันสิบเอ็ดวาเลนไทน์กาล…………..เพราะสืบสารสร้างสื่อนาฏกรรม
ไว้ชื่นชมดูเล่นละครรัก...........................แลประจักษ์ลีลาเต้นที่เลิศล้ำ
ที่เรียกว่าภารตนาฏยัม............................อันอยู่ค้ำคู่ทวีปแดนชมพู
ใช่ต้องการวุ่นวายขายศาสนา...................ฤาพึ่งพาพนันเมืองเรื่องอดสู
สักแต่เขียนเคียงนิทานเคยอ่านดู...............ใช่อวดรู้เริงร้อยการกวี
หวังผู้อ่านเพลินเพื่อความสุข.....................ทิ้งความทุกข์ระทมไปประเสริฐศรี
แม้นความใดร้อยไว้เป็นราคี......................ทิดศักดิ์นี้น้อมขออภัยเอย

..........ฯลฯ.....
.
......[พระจันทร์หรรษา โดย เอ็ม รุทรกุล เริ่มแต่ง ปี ค.ศ. 2011]

ภาพยนตร์ "จันทรหสะ" ของรัฐกัรนาฏกะ