เขาดีใจมากพยายามเรียกเธอ
เคียวเด็น: พี่สาว! พี่สาว! ช่วยด้วยครับ ผมหลงทาง
แต่เหมือนเธอไม่ได้ยิน แล้วเธอก็เดินเร็วมาก ยิ่งเดินก็ยิ่งลึกในป่า ด้วยความเหนื่อยและต้องการกลับบ้าน เคียวเด็นจึงได้วิ่งโผนเข้าไปหาเธอ ทันที และนั้นก็เป็นสิ่งที่เขาจำได้เป็นสิ่งสุดท้าย
ก่อนที่ตัวเขาจะนอนชุ่มเลือดแน่นิ่งเหมือนจะถูกตรึงด้วยหมุดเหล็กยักษ์คือความตายที่ปรากฏเป็นรูปสุนัขจิ้งจอกขาว ซึ่งมันกำลังกลืนกินร่างกาย และหัวใจของเขาที่เหนื่อยอ่อนด้วยความเจ้าปวดทรมานที่ได้พ้นไปในไม่ช้าพร้อมกับชีวิตของเขา
ภาพที่ ๑ วาดวันที่ ๑๔ /๖ / ๒๕๕๗
.............................................
“กองหนึ่งเพื่อพ่อ สองก่อเพื่อแม่ แลสามญาติข้า ฝ่าฝั่งอนธการ น่านน้ำยมโลก สิ้นโศกอาดูร” เสียงเพลงพื้นบ้านที่คุณยายโออินาริร้องบ่อย ๆ เพื่อกล่อมเจ้าจิ้งจอกน้อยที่ตนเลี้ยงไว้
ทำให้ลูกสุนัขจิ้งจอกขาว ตัวน้อยค่อยซึมซับ เรียนรู้ความหมายที่ละน้อย “ทามาโมะ” เป็นลูกสุนัขจิ้งจอกที่คุณยาย โออินาริ เก็บมาเลี้ยงเนื่องจากความสงสาร หลังจากที่พวกพรานป่าได้ล่าสุนัจจิ้งจอกขาวบนภูเขา “ป่าหมอกเมฆพราย” เพื่อนำหนังสุนัขจิ้งจอก และสัตว์ป่าต่าง ๆ มาใช้ทำขนสัตว์ ทำให้ญาติ ๆ และเพื่อนที่เป็นสัตว์ป่าของจิ้งจอกน้อย ล้มหายตายจากเป็นจำนวนมาก และทำให้เธอพลัดหลงกับครอบครัว จนโดนพรานเฒ่าที่ชื่อ “คามิ” ซึ่งเป็นคนที่มีนิสัยแปลกจับได้ เนื่องจากเธอยังตัวเล็กเกินไปกว่าจะฆ่าถลกหนังสัตว์ได้ คามิจึงคิดจะเลี้ยงเจ้าจิ้งจอกน้อยให้โตขึ้นจากนั้นค่อยฆ่าทิ้งถลกหนังมาทำเป็นเสื้อขนสัตว์ ซึ่งปกติชาวบ้านป่าในสมัยนั้นไม่คิดทำกัน อะไรหาได้จากบ้านได้อย่างไรก็เอาไปใช้อย่างนั้นถ้าใช้ไม่ได้ก็ทิ้งหรือฆ่าทิ้งไป แต่เนื่องจากพรานเฒ่าคามิเป็นคนที่ชอบทำตัวไม่เหมือนใคร จึงนำเธอมาเลี้ยงซึ่งเป็นเหตุให้เธอรอดตาย และ ทำให้คุณยาย โออินาริ ซึ่งเป็นภรรยาของพรานเฒ่าคามิต้องดูแลเลี้ยงดู เจ้าจิ้งจอกน้อย “ทามาโมะ”
เมื่อทามาโมะอยู่กับคุณยาย โออินาริ เป็นเวลานานเจ้าจิ้งจอกน้อยก็ได้ซึมซับความเป็นมนุษย์และก็ผูกพันกันกับคุณยาย มาก จนทำให้คุณยายไม่ต้องการให้พรานเฒ่าคามิ ฆ่าทามาโมะทำให้ทั้งสองทะเละกันบ่อย วันหนึ่งได้ปีหนึ่งพรานเฒ่าคามิได้เข้าไปหาของในป่าและก็หายไป ไม่กลับมาอีกเลย ทำให้คุณยายซึมเศร้าและคิดโทษว่าเป็นความผิดของตนเสมอ เวลานั้น พ่อ คิวบิโนะ และแม่โยโกะ ของทามาโมะ ได้ตามหาตัวบุตรสาวจนเจอ และเรียกร้องให้ ทามาโมะกลับไปอยู่กลับฝูงจิ้งจอก แต่ทามาโมะไม่อาจจะทิ้งคุณยาย โออินาริไปได้ จึงได้ยังอยู่กับคุณยายโออินาริไม่ยอมกลับไป ในช่วงเวลานั้นคุณยายโออินาริก็ทำเหมือน ทามาโมะเป็นลูกของตนจริง ใส่เสื้อผ้าให้กับทามาโมะ ให้ทามาโมะเดิน นั่งนอน เหมือนกลับมนุษย์ และพูดคุยกับทามาโมะเหมือนทามาโมะ พูดได้เพื่อทดแทนความเสียใจที่ต้องสูญเสียคุณตาคามิไป แต่ทามาโมะก็เป็นแค่สุนัขจิ้งจอก วันหนึ่งทามาโมะ จึงวิงวอนต่อเทพเจ้าบนสวรรค์และขอให้ตนนั้นได้กลายเป็นมนุษย์เพื่อดูแลคุณยาย และเช้าวันหนึ่งคุณยายโออินาริก็พบว่าเจ้าจิ้งจอกน้อยได้กลายเป็น เด็กสาวน่ารัก ขึ้นมาจริง ๆ
คุณยายโออินาริ : “ เธอเป็นใคร”
ทามาโมะ : “หนูชื่อ ทามาโมะ เป็นจิ้งจอกน้อยที่คุณยายเลี้ยงไว้”
คุณยายโออินาริ : “เป็นไปได้หรือ? หนูเป็นใครทำไมมาหรอกฉัน เจ้าจิ้งจอกน้อยไปไหน?”
ทามาโมะ : “หนูเป็นจิ้งจอกน้อยของคุณยายจริงๆ หนูกลายเป็นคนแล้ว จะได้ดูแลคุณยาย”
คุณยายโออินาริ : “เป็นไปได้หรือ?”
ทามาโมะ : “หนูเป็นจิ้งจอกน้อยของคุณยายจริง ๆ จ้ะ!”
คุณยายโออินาริ : “เมื่อกี้หนู หนูชื่อว่าอะไรนะ”
ทามาโมะ : “หนูชื่อทามาโมะ จ้ะ!”
คุณยายโออินาริ : “ทามาโมะ.........ทามาโมะ” คุณยายพูดย้ำอยู่อย่างนั้น
จากนั้นทามาโมะก็อยู่ดูแลคุณยายด้วนจิตใจบริสุทธิ์มานานหลายปี ทำให้คุณยายนึกรักทามาโมะเหมือนว่าเป็นหลานสาวของตนจริง ๆ จนวันหนึ่งมีพระนิกายเซ็น ชื่อกันจิ ธุดงค์ผ่านมาที่ป่าหมอกเมฆพราย ทามาโมะก็ให้การเคารพและดูและอย่างดีตามการสอนสั่งของคุณยายโออินาริ ทำให้พระกันจิประทับใจมาก และเมื่อรู้เรื่องราวความเป็นมาของทามาโมะก็ยิ่งประทับใจจนทำนายว่า ทามาโมะ จะได้แต่งงานกับบุรุษทิ่ยิ่งใหญ่ในอนาคต ทำให้ทามาโมะ ครุ่นคิดแต่สิ่งนี้จนเกิดความเชื่อว่าสิ่งนี้คือชะตาชีวิตของเธอเอง
ฝ่ายพระกันจิเมื่อกลับลงจากเขามาบิณฑบาต ในหมู่บ้านก็ได้เล่าเรื่องความดีที่น่าประทับใจของทามาโมะให้กับครอบครัวชาวนาที่ยากจนผู้มาใส่บาตรให้ตนฟัง แล้วครอบครัวชาวนา ก็เล่าเรื่องนี้ให้กับเพื่อนบ้านฟัง เพื่อนบ้านก็นำไปเล่าให้กับหัวหน้าหมู่บ้าน หมู่บ้านเมื่อได้พบกับเพื่อนที่เป็นทหารของท่านขุนนางท่านหนึ่ง ก็เล่าเรื่องความดีของทามาโมะ
ให้ทหารท่านนั้นฟัง ทหารท่านนั้นก็เอาไปเล่าให้เจ้านายของตนฟัง เมื่อเห็นว่าเป็นเรื่องแปลก ขุนนางท่านนั้นก็นำไปเล่าให้เพื่อนขุนนางในวงเหล้าฟัง เพื่อนขุนนางในวงเหล้า ก็นำไปเล่าให้ท่านโชกุนที่เป็นเจ้านายของตนฟังอีกต่อหนึ่ง และต่อมาท่านโชกุนก็เล่าต่อ ๆ กันไปถึงท่านโชกุนท่านอื่น สุดท้ายก็รู้ไปถึงหูพระจักรพรรดิในที่สุด ที่ได้รับรู้คำเล่าลือที่ว่า
“ทามาโมะ เป็นนางฟ้ามาจากดวงจันทร์เช่นเดียวกับเจ้าหญิงคางุยะ ฮิเมะ ผู้มีความงดงามเหนือมนุษย์ มีคุณสมบัติและความดีเหมาะสมที่จะเป็นพระสนมของพระองค์”
ซามูไรคนสนิท อาเบะ เล่าให้องค์จักรพรรดิโทบะฟัง
ดังนั้นพระจักรพรรดิ จึงให้จัดเตรียมกระบวนเสด็จที่มีทหาร ๘๐๐๐๐ เดินทางไปป่าหมอกเมฆพรายที่ตำบลนาสุ เพื่อไปรับว่าที่เจ้าสาวคนใหม่ของพระองค์ เจ้าหญิงทามาโมะ
.......................
เนื่องจากเดินทัพในสมัยเวลาต้องจัดเตรียมสิ่งของจำนวนมาก และมีพระราชพิธีที่ยุ่งยากมากมาย เป็นเวลานับเดือนก่อนออกเดินทางสำหรับกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ แต่ข่าวเรื่องที่ “ทามาโมะ” จะได้กลายเป็นพระสนมคนใหม่นั้นได้แพร่ไปทั่วทุกตำบลบ้านเมืองแล้ว พระจักรพรรดิเกรงว่าว่าที่เจ้าสาวของตนอาจจะถูกโจรป่าในสมัยนั้นลักพาตัวเพื่อเรียกค่าถ่าย และเพื่อความปลอดภัยของเจ้าสาว ดังนั้นพระองค์จึงส่งซามุไรคนสนิทของพระองค์ท่านข้าหลวง “อาเบะ” ไปดูแลความเรียบร้อยแบบลับ ๆ ในวันหนึ่งที่ ทามาโมะ กำลังเก็บเห็ดป่าเพื่อไปทำซุปเห็ดให้คุณยายกิน ก็ได้พบชายแปลกหน้าเป็นครั้งแรก
อาเบะ : เจ้าเป็นใคร???
ทามาโมะ : ข้าชื่อ “ทามาโมะ” เป็นหลานคุณยายโออินาริ
อาเบะตกใจเล็กน้อย
อาเบะ : เจ้าเป็นหลานจริงของคุณยายโออินาริจริง ๆ หรือ?
ทามาโมะ : คุณยายโออินาริเก็บข้ามาเลี้ยง ข้าจึงต้องรักและดูแลคุณยาย
ลุงเป็นใครเข้ามาในป่านี้ทำไม?
อาเบะ : ข้าก็แค่คนที่เดินทางผ่านมา........(แล้ว อาเบะ ก็จากไป)
จากนั้นไม่นานข่าวความงามของ ทามาโมะ ว่าที่พระสนมขององค์จักรพรรดิ ก็ได้เป็นที่รู้กันทั่วภายในหมู่บ้าน มีชาวบ้านมากมายอยากจะมาชื่นชมความงามของ “ทามาโมะ” ทำให้ทามาโมะหวาดกลัวด้วยสัญชาตญาณเดิมของสัตว์ป่า ที่ทามาโมะไม่เคยรู้สึกมานานแล้ว เหมือนกับวันที่พวกชาวบ้านขึ้นเขามาล่าสุนัขจิ้งจอก ทำให้คุณยายโออินาริเป็นห่วงมากและพยายามซ่อน ทามาโมะ ไม่ให้ไอ้พวกชาวบ้าน หรือผู้ชายทุกคนที่ไม่คู่ควรกับทามาโมะพบเห็น จนกว่าพระจักรพรรดิจากมารับตัวทามาโมะไปเป็นเจ้าสาว ซึ่งคุณยายก็คงต้องตามไปดูแล และใช้ชีวิตในวังกับหลาน ทามาโมะของตนแน่ คุณยายคิดอย่างนั้น ดังนั้นจึงให้ทามาโมะ อยู่แต่ในบ้าน ใส่หมวกคลุมหน้าและใส่ชุดเจ้าสาวลายดอกซากุระสีขาวตัดกับพื้นฟ้าสีน้ำเงินเข้ม ดูสวยงามที่สุด เท่าที่ผู้ใหญ่บ้านระดมเงินของพวกชาวบ้านที่พอมีฐานะเพื่อซื้อชุดเจ้าสาวที่ดีที่สุดมาให้ทามาโมะใส่ โดยหวังว่าในอนาคต พวกตนจะได้รับการสนับสนุนเป็นใหญ่เป็นโตจาก ทามาโมะ
ทุกๆ วัน ทามาโมะอยู่ในกระท่อมหลังน้อยบนเขากับคุณยาย แต่ชุดเจ้าสาวปิดหน้าอยู่แต่ในบ้าน มียายเฒ่าโออินาริ ที่กลับกลายเป็นผู้ดูแลทามาโมะเสียเองอีกครั้งหนึ่ง บางครั้งทำให้ทามาโมะหวนคิดถึงอดีต และรู้สึกว่าตนได้กลับกลายเป็นลูกสุนัขจิ้งจอกอีกครั้ง ทามาโมะอึดอัดมาก แต่ก็ต้องอดทนรอให้พระจักรพรรดิมารับไปเป็นเจ้าสาว ตามที่คุณยายโออินาริพร่ำสอน โดยส่วนตัวเธอก็มีความคิดหวังลึก ๆ ว่าหากได้กลายเป็นเจ้าสาวของพระจักรพรรดิแล้วจะให้เธอได้กลายเป็นมนุษย์ หรือใกล้เคียงกับความเป็นมนุษย์มากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นความใฝ่ฝันของเธอยิ่งนัก
ทามาโมะ : คุณยายหนูเบื่อ และอดทนไม่ไหวแล้ว ขอให้หนูออกไปข้างนอกได้ไหม?...คะ
คุณยายโออินาริ : ไม่ได้นะหนูจะต้องอยู่แต่ให้ห้องนี้ ข้างนอกมันไม่ปลอดภัย
ทามาโมะ : แล้วเมื่อไหร่องค์จักรพรรดิจะเสด็จมารับหนูละคะ?
คุณยายโออินาริ : “บังเอิญมันมีสงคราม พระองค์ต้องกีฑาทัพไปรบก่อนจ้ะ! ผู้ใหญ่บ้านบอกยายมา
ทามาโมะ : แล้วพระองค์จะทรงปลอดภัยไหมคะ? ทามาโมะพูดทั้งน้ำตา
แล้วพระองค์จะเสด็จมารับหลานไหมคะ?
คุณยายโออินาริ : “มาแน่ ๆ จะยายก็เชื่อว่าอย่างนั้น” แล้วยายโออินาริก็กอดคอหลานรักร้องไห้
“กองหนึ่งเพื่อพ่อ สองก่อเพื่อแม่ แลสามญาติข้า ฝ่าฝั่งอนธการ น่านน้ำยมโลก สิ้นโศกอาดูร” คุณยายโออินาริร้องเพลงกล่อมหลานให้คลายความโศกในกระท่อมเล็กของตน ในขณะที่ทามาโมะร้องไห้จนน้ำตาจนเปื้อนกิโมโนแสนสวยนั้น ให้หม่นหมองลงบ้างเพียงเล็กน้อย
...................
สามปีผ่านไป จนคุณยาย โออินาริ จากโลกนี้ไป ทุกเช้าทามาโมะจะมาเยี่ยมคุณยาย ที่หลุมศพบนเนินต้นสนใหญ่ ใกล้กระท่อม ทามาโมะ จะยังแสนสวยด้วยชุดกิโมโนที่งดงามแม้หม่นหมองลงบ้างด้วยความเก่าและคราบน้ำตาของเธอตามคำขอร้องก่อนตายของคุณยายโออินาริ ที่เชื่อแม้ลมหายใจสุดท้ายว่าหลานสาวที่ตนรักจะได้แต่งงานกับพระจักรพรรดิ
ในช่วงเวลานั้นความหวังเหมือนได้หมดสิ้นไปจากใจของเธอแล้ว ตอนเธอคิดที่จะกลับไปอยู่กับฝูงจิ้งจอก แต่เนื่องจากนางจากฝูงจิ้งจอกมานาน และมีกลิ่นไอของมนุษย์มากเกินไป ทำให้แม้แต่พ่อของ คิวบิโนะ ปีศาจจิ้งจอกเก้าหาง และแม่สุนัขจิ้งจอกสีทอง โยโกะ ก็ไม่ไว้ใจเธอ และไม่ต้องการให้เธอกลับมาอยู่ร่วมฝูงเหมือนสมัยที่เธอเป็นลูกสุนัขจิ้งจอกเล็ก ๆ
คิวบิโนะ : เรารอลูกมานานมากแล้ว ประโยชน์อะไรที่ลูกจะกลับมาในตอนนี้?
โยโกะ : ลูกโตแล้วและควรที่จะดูแลตนเองได้แล้ว
ทามาโมะ : แต่ลูกลืมความเป็นจิ้งจอกไปแล้ว ลูกจะอยู่ปราศจากฝูงได้อย่างไร?
คิวบิโนะ : ลูกจะต้องฆ่าความเป็นมนุษย์ในตัวลูก
โยโกะ : เลือดและเนื้อของมนุษย์จะทำให้ลูกได้กลับเป็นจิ้งจอกอีก และถ้าลูกกลับเป็นจิ้งจอกได้อีกพวกเราก็ยินดีที่จะต้อนรับการกลับมาของลูก
ทามาโมะ : ลูกทำไม่ได้หรอกจะ
คิวบิโนะ : เช่นนั้นเจ้าก็ต้องอยู่คนเดียวในโลกของมนุษย์ต่อไป
จากนั้นทามาโมะก็จากฝูงจิ้งจอกปีศาจกลางไพรไปด้วยความสร้อยเศร้า ในขณะที่ทามาโมะกำลังร้องไห้อยู่กลางป่านั้นเอง
คนแปลหน้าที่หน้ากลัวคนหนึ่งก็ตรงเข้ามาหาเธอ ทำให้สัญชาตญาณของสัตว์ป่าได้เตือนให้รู้ว่าเธอกำลังจะมีภัย เธอจึงได้ฆ่าชายคนนั้นและควักหัวใจมากิน ไม่ผิดนิเธอก็แค่ป้องกันตัว เธอไม่ผิดกับความเป็นมนุษย์และยังได้รับรู้รสชาติของหัวใจมนุษย์อันแสนหวานแล้ว เธอก็จะได้กลับไปอยู่ในฝูงจิ้งจอกปีศาจอีกด้วย จากนั้นเธอจึงกลับไปแต่งตัวด้วยชุดกิโมโนที่สวยที่สุดให้วิญญาณของคุณยายโออินาริชื่นชมเป็นครั้งสุดท้าย หลังจากที่ไปสักการะหลุ่มศพของคุณยาย ทามาโมะก็เผากระท่อมทิ้งและพร้อมที่จะกลับคืนไปใช้ชีวิตในแดนไพร
....................................
เหมือนสวรรค์แกล้งในขณะที่ เธอกำลังจะกลับไปสู่ป่าไปอยู่กับครอบครัวของเธอ องค์จักรพรรดิก็เสด็จกลับมาจากสงครามแล้วก็ผ่านมาที่หมู่บ้านป่าหมอกเมฆพราย และก็ยังคงมีพระประสงค์จะรับทามาโมะไปเป็นเจ้าสาว ด้วยทรงหลงรักทามาโมะในจินตาการที่เต็มไปด้วยคำร่ำลือนานับประการทั้งรูปสมบัติและคุณสมบัติที่เหนือสตรีนางใดในโลกนี้ แต่ด้วยภาระราชการสงครามกับโชกุนและกบฏขุนนางในแดนเหนือ ทำให้พระองค์ต้องไปสงคราม แต่ในใจของพระองค์ก็ยังเฝ้าฝันถึงทามาโมะในใจเสมอ เมื่อเสด็จมาถึงและรู้ว่าคุณยายของทามาโมะตายแล้วและ กระท่อมของทามาโมะ ก็ถูกไฟไหม้ในวันนั้น พระองค์ก็ยิ่งตกพระทัย และสั่งให้ข้าราชบริพาร และชาวบ้านช่วยกันหา ทามาโมะ จนพบเธอกำลังเดินเหมือนคนเหม่อลอยอยู่ในป่าคนเดียว จึงรีบให้นำทามาโมะเข้าเฝ้าทันทีผิดจากราชประเพณีที่จะต้องมีการตรวจสอบต่าง ๆ นานาก่อน
ที่หน้าพลับพลาที่ประทับของพระจักรพรรดิ พระจักรพรรดิสั่งให้ทุกคนออกไป นานที่ทั้งสองนิ่งอยู่นาน
พระจักรพรรดิทรงตื่นเต้นที่จะพบกับนางแก้วในฝัน ในขณะที่ทามาโมะรู้สึกสับสนใจหนึ่งก็ดีใจที่ได้พบกับคืนวันที่รอคอยมานาน ใจหนึ่งก็เสียใจที่คุณยายไม่อยู่ในวัน พร้อมกับความกระอักกระอ่วนใจ ที่กระหายรสหวานจากหัวใจมนุษย์ ได้ยินแม้เสียงหัวใจเต้นที่เต็มไปด้วยความเสน่หา ขององค์จักรพรรดิ แล้วองค์จักรพรรดิก็เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ
องค์จักรพรรดิ : “เปิดหน้าให้ฉันดูหน่อยสิ”
ทามาโมะ จึงเปิดผ้าปิดหน้าของตนให้องค์จักรพรรดิดูทันทีที่องค์จักรพรรดิเห็นก็ตื่นตะลึงกับความงามของทามาโมะจนช็อกล้มลงชัก ร่างกายชักกระตุกไปจนชนตะเกียงตกแตกทำให้เกิดไฟไหมฉากกั้นที่ทำด้วยไหมเนื้อดี แล้วข้าราชบริพารขุนทางต่าง ๆ ก็รีบเข้ามาอารักขา พระจักรพรรดิของพวกเขา ซามุไร หลายคนมองมาที่ ทามาโมะ อย่างหวาดกลัวและเกลียดชัง บางคนชักดาบออกมาส่งเสียงขู่และขับไล่ ทามาโมะ ที่มีความผิดเดียวคือ “เธอสวยเกินไป” เธอคิดเช่นนั้น
ทามาโมะ อาศัยหมอกที่หนาทึบในป่าหมอกเมฆพราย วิ่งหนีผ่านเนินต้นสน หลบทหารที่ไล่ล่าไปทางน้ำพุร้อนในป่า ซึ่งทหารซามุไรพวกนั้นกลายเป็นบ้าไปแล้ว นอกจากพวกมันจะตามไล่ล่า ทามาโมะผู้ปราศจากความผิดแล้ว พวกมันไล่ฆ่าพวกชาวบ้านทุกคนในหมู่บ้านด้วย และแล้วทามาโมะในชุดกิโมโนแสนสวยที่หลบนี้การไล่ล่าก็สะดุดล้มลงในป่า เมื่อมองขึ้นไปเธอก็เห็นเท้าคู่หนึ่งของใครด้านหน้า ท่านข้าหลวงอาเบะนั้นเอง
เมื่ออาเบะพบกับทามาโมะในวันนั้นก็เก็บงำบางอย่างไว้เป็นความลับ ที่เขาไม่กล้าและกลัวเกินกว่าจะเปิดเผยความลับนั้นที่เป็นเสมือนความผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตของเขาเองที่อาจจะหมายถึงชีวิตและความภักดีต่อองค์จักรพรรดิของเขาด้วย แต่บังเอิญมีสงครามเกิดขึ้นเมื่อองค์จักรพรรดิต้องเสด็จไปเป็นขวัญกำลังใจให้ทหารแนวหน้าตามคำแนะนำของเขา เขาก็คิดว่าพระองค์จะลืมทามาโมะแล้วและความผิดที่เป็นความลับของเขาก็จะได้ลับไปตลอด แต่สุดท้ายพระองค์ก็เสด็จมาป่าหมอกเมฆพรายแห่งเมืองนาสึจนได้ ซึ่งตอนนี้เขาก็ไม่จำเป็นจะต้องเก็บความลับนี้ไว้แล้ว ท่านข้าหลวงอาเบะคนสนิทขององค์จักรพรรดิจึงยื่นกระจกส่องหน้าบานเล็ก ๆ สวยงามสำหรับส่องหน้าสตรี ให้ทามาโมะ
เมื่อทามาโมะมองเข้าไปในกระจก สิ่งที่ทามาโมะเห็นในกระจกนั้นทำให้ทามาโมะช็อกและเสียใจเป็นอย่างมาก จนทามาโมะไม่อาจอดกลั้นความทุกข์ระทมไว้ได้ จึงกรีดร้องจนกลายเป็นเสียงจิ้งจอกด้วยความเจ็บปวดใจอย่างเป็นที่สุด
ในขณะที่ อาเบะกำลังจะใช้ดาบตัดหัวเธอในทีเผลอ เพื่อเอาไปเป็นของชดเชยความผิดของตนและแสดงความภักดีต่อองค์จักรพรรดิ
ตอนนั้นเองพระรูปหนึ่ง นามว่าเกโนะ ก็ปรากฏตนขึ้นและสวดมนตร์ แผ่เมตตาให้กับดวงวิญญาณผู้ตายทั้งหลายในที่นั้น และแล้วหมอกในป่ากับภาพมายาต่าง ๆ ก็หายไป ปรากฏเบื้องหน้าเป็นหินสีดำก้อนใหญ่ที่ลงอักขระยันตร์มากมาย
..............................................
ในตอนเช้า ครอบครัวชาวนา ครอบครัวหนึ่งที่อยู่ในเมืองนาสึ ได้ดูรายการโทรทัศน์ในท้องถิ่นที่บอกเล่าเรื่องสยองขวัญเกี่ยวกับเด็กที่ชื่อ เคียวเด็น ไปเที่ยวกับกลุ่มเพื่อนในป่าแถบหินต้องสาป และพลัดหลงหายไป จนหลายวันต่อมา พบศพที่ถูกสัตว์ป่ากัดแทะจนเละ โดยเฉพาะที่สำคัญหัวใจของเขาได้หายไป ซึ่งข่าวแบบนี้มักจะปรากฏขึ้นมานานปีสักครั้งในพื้นที่แถบนี้ จนดูเป็นเรื่องปกติที่ผู้ใหญ่มักจะเตือนไม่ให้เด็ก ๆ เข้าไปในป่าหมอกเมฆพราย ซึ่งมักจะลือกันว่าเป็นที่อยู่ของวิญญาณที่กำลังจะเดินทางไปสู่ยมโลก และวิญญาณที่ไม่ยอมเดินทางไปสู่ยมโลก
“กองหนึ่งเพื่อพ่อ สองก่อเพื่อแม่ แลสามญาติข้า ฝ่าฝั่งอนธการ น่านน้ำยมโลก สิ้นโศกอาดูร” เสียงเพลงพื้นบ้านที่ร้องขึ้นตามประเพณีการก่อกองหินเพื่อส่งวิญญาณของผู้เสียชีวิตให้ได้พบเส้นทางไปสู่สุขคติในโลกหน้า
พวกคุณคิดไหมว่า ....อะไรคือสิ่งที่ “ทามาโมะ” เห็นในกระจก?
ไม่ว่าคุณจะมีคำตอบให้ตนเองเช่นใด....แต่ความจริงคำตอบนั้นก็ยังเป็นความลับมาถึงทุกวันนี้
ภาพที่ ๕ กระจกส่องหน้า
ที่มา http://www.weloveshopping.com/shop/cutielady/ETAC001.jpg
..............................
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น