วันอาทิตย์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ในทะเลนิทรา






รวมเรื่องสั้นของเอ็มรุทรกุล (หนังสืองานศพ อ.สัก)


เตรียมตัวก่อนตาย (เป็นวัฒนธรรมและเรื่องธรรมดาสำหรับลูกหลานจีน)

หนังสืองานศพของผมแจกให้อ่านล่วงหน้า
สำหรับผู้ที่มางานหรือไม่มาไม่มีปัญหา ในอนาคตถ้าตายไปแล้วคนตายก็ไม่รู้อะไร?
(แต่ยังไม่ได้ตรวจปรู๊ฟนะ! เกรงใจจะส่งให้ใครตรวจก็เห็นว่างานยุ่งกันทั้งนั้น)



๑.ตาราวดี
ชุดรวมเรื่องสั้น ของ เอ็มรุทรกุล
เรื่องที่ ๑ ตาราวดี
(โครงเรื่องดัดแปลงจากเรื่องเล่าเกี่ยวกับกษัตริย์ธรรมธวัช และพระชายาผิวบางทั้งสาม จากนิทานเวตาล เรื่องที่ ๑๑)
เมื่อสิ้นแสงตะวัน ความมืดที่น่ากลัวก็เข้ากลืนกินท้องฟ้าเฉกเช่นชายหนุ่มกักขฬะหยาบช้าเข้ายื้อยุดลวนลามสาวน้อยแสนงามที่มีผิวนวลให้บอบช้ำด้วยกำลัง จนทำให้หมู่เมฆที่เหมือนผ้าฝ้ายสีขาวของท้องฟ้าและสีฟ้าอ่อนที่เป็นเหมือนแพรพรรณอันปกปิดส่วนที่ซ่อนเร้นของผิวอันสดใสและงดงามของนภากาศต้องหมองหม่นลงและบางก็ถูกฉีกขาดด้วยสายลมแรงยามค่ำคืน ส่วนร่างของนางนั้นถูกกดทับหายไปด้วยร่างกายที่ใหญ่มากกว่าและดำทมิฬเหมือนเต็มไปด้วยมลทินที่แสนดำมืดของรัตติกาล อสูรร้ายผู้เป็นเพื่อนสนิทแห่งสวามีนาง และผู้ที่นางเกลียดมากผู้หนึ่งได้สบโอกาสแอบขืนใจนางซ้ำอีกครั้งแล้วครั้งเล่า เมื่อทิวาเทพผู้เป็นสวามีได้ละทิ้งนางไว้เพียงผู้เดียวและแอบไปเพลิดเพลินอยู่กับชู้รักของตนนางสมุทรกัลยาในบาดาลโลก ดังนั้นเมื่อทุก ๆ เช้าที่สุดที่รักของนาง, ทิวาเทพซึ่งเป็นผู้ที่นางเกลียดมากที่สุดได้กลับมาภายหลังที่ความมืดจากไป ความมีมลทินของนางจึงต้องถูกปกปิดด้วยหมู่มวลเมฆขาว เพื่อให้ความลับแห่งรัตติกาลก็จะยังคงเป็นความลับแห่งความเจ็บช้ำน้ำใจของนางตลอดไปตราบเท่าที่วันและคืนในโลกมนุษย์ยังคงมีอยู่ ความแค้นของสตรีที่มีต่อบุรุษเพศ และความปรารถนาจะแก้แค้นนั้นก็ยังดำรงอยู่ แต่บางครั้งก็ออกมาในรูปของการแบกรับความแค้นนั้นไว้ในใจ ทำให้ใจสตรีนั้นกว้างใหญ่เหมือนฟากฟ้าที่ไม่มีที่สิ้นสุด และลึกลับมืดสนิทยิ่งความมืดแห่งรัตติกาล
ธรรมธวัช มองดูบุษบกที่ไหม้ไฟไปพร้อมกับร่างของนางอันเป็นที่รักด้วยหัวใจที่แหลกสลาย แม้ว่าดวงตะวันจะทอแสงจ้าในยามเช้าแล้ว แต่โลกของเขาได้มืดบอดไปจนสนิทสิ้นแล้ว นอกจากภาพร่างอันงดงามที่ไหม้ไฟของนางตาราวดีเท่านั้นที่จะเวียนมาให้สมองของเขาทั้งยามตื่นและยามหลับไปจนตายแล้ว สิ่งอื่น ๆ ในโลกนี้ล้วนเป็นเพียงความว่างเปล่าเท่านั้นสำหรับเขา ท่ามกลางเสียงร่ำไห้ของข้ารับใช้ทั้งหลายที่เหมือนกับเสียงดุริยางคศิลป์แห่งการไว้อาลัยแห่งการจากไปของหญิงผู้เป็นเลิศในสามโลกนี้ เฉกเช่นการจากไปแห่ง สะตีเทวี ชายาขององค์พระมเหศวรเป็นเจ้า ธรรมธวัชมหาวาณิชหนุ่ม ก็ปรารถนาจะโอบกอดร่างอันสิ้นใจของนางเพื่อเป็นการลาครั้งสุดท้าย เช่นเดียวกับที่พระเป็นเจ้าได้เคยโอบกอดนางสะตีผู้เป็นที่รัก แต่อนิจจาร่างนางตาราวดีนั้นได้อันตรธานหายไปหมดสิ้นที่เหลือก็กลายเป็นเพียงเถ้าธุลีเสียแล้ว เขาทำได้เพียงกอบเถ้านั้นกำไว้ในมือแล้วก็เทมันกลับซ้ำลงไปซ้ำแล้วซ้ำอีก ประดุจว่ามีมนตร์สัญชีพ ที่คืนชีพได้ของพระโยเคศวรศิวะเจ้า จนสายลมแรงแห่งเหมันตฤดู ได้พัดพาเถ้าธุลีนี้จนหมดสิ้นไป และมอบความหนาวเหน็บเพื่อย้ำเตือนความปวดร้าวที่เยือกเย็นหนาวถึงขั้วหัวใจให้เขา ทำให้เขาได้รู้ว่านางตาราวดีได้จากไปแล้ว เขาจึงได้แหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าและกรีดร้องเรียกหานาง “ตาราวดี! ตาราวดี! ตาราวดี! ตาราวดี! ตาราวดี! ตาราวดี!” เป็นร้อยครั้งเหมือนหนึ่งหวังว่าเมื่อนางที่อาจจะเพียงไปอยู่ในที่ห่างไกลจะได้ยินและกลับมา...หาเขา จนเขาหมดเสียงและสลบลงไป ให้ปวงญาติและข้ารับใช้ทั้งหลายในคฤหาสน์ของเขาตกใจและ “ธรรมบาล” นักบวชผู้เป็นเหมือนเพื่อนของชาวโลกก็มองดูเขาผู้เป็นเหมือนลิงได้แก้วด้วยความอนาถใจ แกมสมเพช เรื่องที่เกิดขึ้นนี้มีเข้าที่รู้เรื่องและก็เป็นประจักษ์พยานในเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้น ส่วนคนอื่นที่ไม่รู้เรื่องนี้ก็จงสดับฟังให้เข้าใจอย่าได้พิศวงงงงวยไปแต่อย่างใด เรื่องนี้มีอยู่ว่า ธรรมธวัช เป็นนายวาณิชหนุ่มผู้ได้รับกิจการเดินเรือในคราบสมุทรแห่งชาวภารตนี้ไปจนถึงแผ่นดินสุวรรณภูมิทำให้ ธรรมธวัชเป็นกลายเป็นเศรษฐีผู้มั่งคั่ง และที่ปรึกษาด้านการคลังในราชสำนักแห่งกรุงอุชชยินี ที่เชิญให้เขาครองตำแหน่งพระคลังข้างที่เป็นเกียรติในแคว้นนั้น เดิมเขานั้นแต่งงานตามประเพณีกับสตรีที่เป็นญาติในวรรณะเดียวกัน “ไวศยะ” คือลูกหลานพวกพ่อค้าด้วยกันเอง คือนางอินทุเลขา ถึงแม้ว่าจะเป็นสตรีที่งามพร้อมทุกอย่าง แต่เขาก็ไม่ได้รักอะไรนางนักหนา เพราะนางเป็นเหมือนของตายสำหรับเขา คือเป็นสตรีที่ได้มาง่าย ๆ เพราะตามสัญชาติญาณของเขาผู้มีสายเลือดพ่อค้านั้น เขาชอบการต่อสู้แข่งขันและฉกฉวยมาจากผู้อื่นมากกว่าดังเช่น นางมฤคเนตร ภรรยาน้อยผู้มีวรรณะต่ำเพราะเกิดในหอคณิกาที่เขาประมูลมาไว้ในครอบครอง จึงกลายเป็นผู้ที่เขาลุ่มหลงมากที่สุด แต่แล้ววันหนึ่งธรรมธวัชได้เดินทางผ่านป่าเพื่อไปค้าขายในต่างแดน เขาก็ได้พบกับนางตาราวดีงดงามและลึกลับในปราสาทโบราณเพียงผู้เดียวในเวลากลางคืนของคืน ๆ หนึ่ง เขาตกหลุมรักนางทันทีแต่แรกเห็นก็ได้มอบหัวใจความหยิ่งทระนงและความภักดีไว้แทบเท้านาง และก็เป็นโชคร้ายของนางที่นางรักเขาตอบ ซึ่งก็อาจจะเป็นเพราะว่านางอยู่ผู้เดียวในปราสาทมายาวนาน นางจึงตกลงเป็นภรรยาของเขาในที่สุด
ธรรมธวัช : น้องตาราวดี พี่ปรารถนาที่กลับไปบ้านแล้ว ขอให้น้องกลับไปกับพี่ด้วย
นางตาราวดี: ก็ได้แต่น้องมีข้อแม้ว่า น้องจะเดินทางในเวลากลางคืนเท่านั้น และเมื่อน้องไปถึงบ้านของพี่แล้วพี่จะต้องปลูกเรือนที่ไม่มีช่องรอดของแสดงตะวันเขามาในเรือนของน้องได้เลย และในตอนกลางคืนเท่านั้นที่พี่จะมาหาน้อง ไม่เช่นนั้นน้องก็จะไม่สามารถอยู่กับพี่ได้อีกต่อไป ทันที่พี่ผิดสัญญาน้องก็จะจากไป
ธรรมธวัชแปลกใจกับคำขอนั้นแต่ก็ได้ให้สัญญาไว้เพราะคิดว่าอย่างไรเสียให้พานางไปให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากันจึงได้พูดประโลมนางตาราวดีไปว่า
ธรรมธวัช: ถ้าเช่นนั้นหัวใจของพี่คงแหลกสลายหมดสิ้นไป เป็นแน่ พี่ขอให้สัญญาใจของน้องไว้เช่นนั้น แล้วพี่จะไม่ผิดสัญญานี้แม้แต่ครั้งเดียว
ภายหลังเมื่อธรรมธวัชพานางมาถึงบ้านแล้ว ก็ปฏิบัติตามคำสัญญาด้วยดีต่อนางมาตลอดจนเวลาผ่านไปสองปีแล้ว เขาได้มีบุตรีกับนาง นางหนึ่งคือ “นางมฤคางวดี” เนื่องจากบุตรีนั้นย่อมไปเป็นที่โปรดของครอบครัวชาวภารตทีนิยมมีบุตรชายมากว่า ความโปรดปรานในนางตาราวดีสำหรับเขาก็เหมือนลดลงบ้างเพียงเล็กน้อย ซึ่งคนทั่วไปก็คงไม่มีใครรู้ได้แต่นางอินทุเลขา ภรรยาหลวงของธรรมธวัชและข้ารับใช้สนิทของนางอริสาสังเกตได้อย่างเห็นได้ชัดดังนั้นในงานเทศกาลบูชาประทีปประจำปี ตามประเพณีที่คฤหาสน์ของธรรมธวัชจะจัดเป็นงานใหญ่สามวันที่เชิญชาวภารตแทบจะทั้งแผ่นดินมาเยี่ยมชมเพื่ออวดความมั่งคั่งของเขานั้น โดยปกติจะให้ภรรยาทั้งสามแบ่งรับผิดชอบงานทั้งสามวัน แต่ส่วนวันสุดท้ายที่นางตาราวดีจะรับผิดชอบนั้นจัดขึ้นได้แค่ส่วนเดียวคือเวลากลางคืน ดังนั้นกิจกรรมที่ทำในช่วงเช้าทั้งหมดจะกลายเป็นต้องโยนกลับไปให้นางอินทุเลขาทำซึ่งหลายครั้ง ๆ ก็เป็นเช่นนี้ทำให้นางอินทุเลขาไม่พอใจดังนั้นในงานเทศกาลบูชาประทีปคืนสุดท้ายของนางตาราวดี ที่ทุกคนมาประชุมพร้อมกับเพื่อบูชาประทีปต่อองค์พระเป็นเจ้าและส่งท้าวพญายมที่จะมาเยี่ยมเป็นครั้งสุดท้าย ชนวนเหตุแห่งมรณกรรมแห่งนางตาราวดีจึงเกิดขึ้น เพื่อดอกบัวในถาดที่นางใช้บูชาเพลงอารตีต่อพระเป็นเจ้าหล่นไปโดนเท้านางอินทุเลขา
อินทุเลขา : กรี๊ด ! แล้วนางอินทุเลขาก็ก้มไปจับเข่า แสดงสีหน้าเจ็บปวดเหลือเกินเพราะกับกล่าวว่า
อินทุเลขา : หล่อนคิดจะฆ่าฉันหรือถึงได้ประทุษร้ายฉันได้ถึงเพียงนี้
เมื่อตาราวดีเห็นเช่นนั้นก็ไม่ได้มีสีหน้าตกใจอะไร เพราะรู้ทันมารยาสามานย์ของนางอินทุเลขา เพื่อตัดความรำคาญ ธรรมธวัช จึงกล่าวว่า
“อะไรกันนักหนาแม่อินทุเลขา แค่ดอกบัวดอกเดียวจะไปเจ็บอะไรนักหนา?”
อินทุเลขา : พี่พูดแบบนี้ก็ไม่ถูกนะ ที่แม่ตาราวดีผู้ต้องแสงจันทร์ก็ช้ำแล้ว นางมฤคางกะวดีบุตรีนางแค่ได้ยินเสียตำข้าวผิวก็ช้ำแล้ว นี่คะ! เช้า ๆ อยู่แต่ในห้องงานการไม่เคยทำ
ธรรมธวัช : ก็นั้นเป็นสัญญาที่ฉันให้เขาไว้ เธอจะเอาอะไรกันกับเขานักหนา?
อินทุเลขา : นั้นเป็นสัญญาของพี่ก็จริง แต่พี่ไม่มีภรรยาคนเดียวนะคะ ถ้าคนอื่นอย่างแม่มฤคเนตร และน้องจะเอาอย่างบ้างละ? ทั้งบ้านก็ไม่ต้องทำอะไรกับหรือคะ!
ตาราวดี : พี่อินทุเลขา นี้เป็นสัญญาที่พี่ธรรมธวัชให้ฉันไว้ ถ้าพี่ธรรมธวัชผิดสัญญาฉันก็อยู่ที่นี่ไม่ได้
ธรรมธวัช: จะเอาอย่างไรละแม่อินทุเลขา
อินทุเลขา : ให้แม่ตาราวดี ตื่นมาแต่เช้ามาปวงสรวงเทวาลัยประจำบ้านบ้างสิคะ!
ธรรมธวัช: ก็ได้ตามนั้น
ตาราวดี : ถ้าพี่ธรรมธวัชผิดสัญญาฉันก็อยู่ที่นี่ไม่ได้
ธรรมธวัช : อย่าเรื่องมาก ฉันก็ให้สัญญากับอินทุเลขาไปแล้ว ตาราวดีเธอก็มีหน้าที่ทำตามสัญญาที่ฉันให้ไว้แล้วนั้นด้วย
“ถ้าพี่ธรรมธวัชผิดสัญญาฉันก็อยู่ที่นี่ไม่ได้” ตาราวดีพูดซ้ำอีกครั้ง แต่เหมือนว่าธรรมธวัชจะไม่สนใจฟังเดินไปสาละวนกับการต้อนรับแขกที่มาในงาน พร้อมกับนางอินทุเลขาที่มีรอยยิ้มสะใจที่มุมปาก หลายวันก่อนเทศการบูชาประทีป นางได้พบกับนักบวชไศวนิกายตนหนึ่ง ไม่นุงผ้า แขวนกะโหลกเต็มตัวแต่แรกเห็นนางตกใจจนเป็นลมทำให้สาวใช้ต้องพยาบาลจนตื่นขึ้นและจากการแนะนำของชาวใช้คนสนิทนางอริสาผู้เป็นผู้นำนักบวชประหลาดรูปนั้นมาหานาง นางจึงได้รู้ว่านักบวชรูปนั้นคือผู้วิเศษชื่อ “ธรรมบาล” และผู้วิเศษท่านนั้นได้บอกว่านางตาราวดีแท้จริงคือนางผีป่า นางรากษสปลอมมาทำให้นางไม่สามารถออกมาพบผู้คนในเวลากลางวันได้ต้องหาทางกำจัดเสีย นางได้ยินดังนั้นทั้งดีใจที่จะได้ขจัดเสี้ยนหนามหัวใจ แต่ก็กลัวนัก ธรรมบาลมุนีจึงได้แนะนำว่าวิธีจะกำจัดนางตาราวดีก็ง่าย ๆ ให้หาทางให้นางออกมาให้ตอนกลางวันให้ได้ คือให้นางออกมาบูชาพระเป็นเจ้าที่เทวลัยหน้าบ้าน ด้วยอำนาจของเทวาลัยนางและลูกของนางก็จะเปิดเผยร่างจริงและหนีไป นางได้ฟังก็ยินดีเป็นอย่างยิ่งและหาช่องทางในการกำจัดนางตาราวดีมาตลอดเวลานับแต่นั้นมา แล้ววันนี้ก็มาถึงทำให้นางสะใจยิ่งนัก
ในตอนเช้านางตาราวดีให้สาวใช้จัดหาบุษบกขึ้นหน้าเทวลัย หน้าคฤหาสน์จัดแต่งด้วยดอกไม้สวยงาม จากนั้นนางก็ให้เชิญญาติ ๆ เพื่อน ภรรยาของธรรมธวัช และตัวธรรมธวัชเองมาที่หน้าเทวาลัย ที่มีการถวายเครื่องเซ่นให้พระเจ้ามากมาย จนดูเหมือนเป็นงานพิธีกรรมบวงสรวงใหญ่ แต่จนสายแล้วนางตาราวดีก็ไม่เห็นมา
ทำให้ธรรมธวัชร้อนใจมาก ใช้หนึ่งก็ห่วงว่านางตาราวดีจะหนีไป ใช้หนึ่งก็โกรธด้วยความทระนงว่าทำไมนางตาราวดีที่เป็นภรรยาจึงไม่ยอมทำตามคำสั่ง เมื่อจะใช้ให้สาวใช้ไปเรียกทันที่ เกี้ยวของนางตาราวดีก็ออกจากประตูเรือนตรงมาหยุดหน้าบุษบก จากนั้นนางตาราวดีก็พูดกับธรรมธวัชอีกว่า
ตาราวดี : ถ้าพี่ธรรมธวัชผิดสัญญาฉันก็อยู่ที่นี่ไม่ดี
ธรรรมธวัชจึงบันดาลโทสะประกาศสั่งให้นางตาราวดีออกมาจากเกี้ยวเดี๋ยวนี้ไม่เช่นนั้นจะฆ่าให้ตาย
“ออกมาเดี๋ยวนี้แม่ตัวดี กลางวันดีแต่นอนเกียจคร้านสันหลังยาว กลางคืนก็มาตื่นมีใครเขาพฤติกรรมชั่วร้ายแบบนี้บ้าง ออกมาเดี๋ยวนี้จะเป็นตายก็ต้องออกมา” ธรรมธวัชว่า เพราะกับเอาดาบขึ้นมาฟันเกี้ยวจนหัก ดังนั้นตาราวดีในชุดขาวประดับด้วยเครื่องเงินแกมเพชร ยิ่งทำให้นางตาราวดีผู้มีผิวขาวใสดูบริสุทธิ์เหมือนกับนางฟ้าในสวรรค์จึงเยื้องย่างออกมาเหมือนพญาหงษ์ และเดินไปยืนอยู่บนบุษบกที่ตกแต่งด้วยดอกไม้และประกาศในที่นั้นว่า
ตาราวดี : ข้าคือนางอัปสรต้องสาปจากสวรรค์ ผู้เคยมีหน้าที่ดูแลพระประทีปของพระเป็นเจ้าในเทวาลัยศักดิ์สิทธิ์ แต่ไฟศักดิ์นั้นดับลงด้วยเพราะข้าถูกธรรมบาลพญายักษ์ผู้มีหน้าที่เฝ้าประตูศักดิ์สิทธิ์ลวนลาม จึงถูกสาปให้มาอยู่ในโลกมนุษย์ใช้ชีวิตได้เพียงในโลกแห่งความมืดเท่านั้น หากว่าต้องแสงตะวันเมื่อใดร่างของข้าก็จะมอดไหม้เป็นจุณไป บัดนี้ข้าได้มอบกายนี้เป็นเครื่องบูชาต่อพระเจ้าแล้วคำสาปของข้าก็จะสิ้นสุดแต่เพียงเท่านี้
ส่วนมฤคางกะวดี บุตรีแห่งข้าจะเป็นผู้สืบต่อคำสาปแห่งข้านี้ต่อไป ดูแลเขาด้วย “ธรรมบาล”ผู้เป็นสาเหตุแห่งคำสาปและความตายของข้า มันเป็นหน้าที่ของเจ้า
ทันทีที่นางตาราวดี กล่าวจบร่างกายของนางก็มอดไหม้ไปกับเพลิงที่ลุกท่วมร่างของนางทันทีแวบหนึ่งทำให้ความงามของนางยิ่งเจิดจรัสยิ่งขึ้นเป็นเสมือนความงามประหลาดที่ไม่เคยมีอยู่ในโลกนี้ แล้วร่างกายของนางก็กลายเป็นเถ้าสลายกลายเป็นจุณไม่เหลือสิ่งใดในทันที ความงามที่น่าเสียดายที่สุดของนางนั้นเป็นสิ่งที่ยากที่สุดที่จะเปรียบเปรย ความงามสูงสุดของนางในกาลนั้นอาจจะเหมือนกับดอกไม้ไฟ หายไปจากท้องฟ้า หรือเหมือนดอกกรรณิการ์ ที่บานในตอนเช้าแล้วก็ร่วงโรยเมื่อต้องสายลมแห่งเหมันตฤดูก็ดี ก็อาจจะเทียบได้กับเพียงส่วนใดส่วนหนึ่งเพียงส่วนเดียว แต่สรุปก็คือความงามของนางในเวลานั้นเป็นสิ่งที่ยากที่สุดเหลือพรรณนา แม้ในกาลต่อมามีกวีทั้งหลายล้วนพรรณนาความงามของสตรีทั้งโลกไว้ ก็ไม่อาจจะเทียบกับความงามของนางตาราวดีได้เลย แม้เพียงเสี้ยวใดเสี้ยวหนึ่งแห่งความงามของนางตาราวดี ซึ่งได้กลายเป็นความงามแห่งดาวประกายพรึก ที่หายไปเมื่อรุ่งสาง เพียงแต่ความงามของนางตาราวดีนั้นงดงามยิ่งกว่า และความงามอันมหัศจรรย์ของนางนั้นเมื่อหายไปแล้วก็จะไม่มีวันได้คืนกลับมาอีก...ตลอดไป
เรื่องราวทั้งหมดได้ถูกจับตาดูโดย “ธรรมบาลมุนี” หรือพญายักษ์ “ธรรมบาล”ที่ปลอมมาเป็นนักบวช เพื่อเป็นเหตุแห่งการจบชีวิตของนางตาราวดี ตามจำสาปของพระเป็นเจ้า ที่ได้กำหนดโชคชะตาไว้แล้ว
หลังจากนั้น “ธรรมบาล” ก็ได้เดินจากไปในความมืดพร้อมกับการตายของนางผู้เคยเป็นที่รักของเขา
อาจจะด้วยความสิ้นหวังในชีวิตหรือความอับโชคหรือคำสาปใด ๆ ก็ดี ต่อมาอาณาจักรแห่งการค้าทางทะเลของ ธรรมธวัช นายวาณิชที่ยิ่งใหญ่ก็ล่มสลาย ข้าทาสและภรรยาทั้งหลายก็จากไป ทั้งจากเป็นและจากตาย แล้วเขาก็หายไปจากเมืองอุชชยินี ในอีกหลายปีต่อมามีคนพบชายชราคนหนึ่งผอมแห้ง นอนตายเดียวดายอยู่ในพื้นทะเลทรายร้อนระอุ อันกว้างไกลไร้จุดหมายในมือนั้นกำเศษของอะไรบางอย่างที่ ดูเหมือนเคยว่าเป็นเครื่องประดับเงินอะไรสักอย่างเคยถูกไฟไหม้จนดำอยู่ในมือ สีหน้าของชายชรานั้นมีรอยยิ้มเหมือนว่าได้พบแล้วกับบางสิ่งที่ค้นหามานานแสนนาน รอยยิ้มบนไปหน้าที่เหี่ยวย่นทั้งหลายที่เสมือนร่องรอยที่แทนความทุกข์ยากต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
ภาพที่ ๑ ภาพศิลปะอินเดียเหนือ (ไม่เกี่ยวกับเรื่อง)
ที่มา http://madhukidiary.com/wp-content/uploads/2014/12/baz-bahadur-rupmati-riding-horses_productlarge_thumb.jpg

..............................
เรื่องที่ ๒ คำพา และโตพี
(โครงเรื่องดัดแปลงจากตำนานท้องถิ่นของชนชาติไตในรัฐอัสสัมของประเทศอินเดีย เรื่องของ คัมบะ และตวยบี แห่งมณีปุรี แต่ดัดแปลงชื่อต่าง ๆ เพราะกลัวว่าจะตรงกับคำหยาบในภาษาไทยโดยบังเอิญ)
แม้ว่าท้องฟ้าจะมืดมิด แต่แสงโสมผู้เป็นธิดาแห่งรัตติกาลได้ขึ้นประทับบนบัลลังก์แห่งฟ้าและส่องสว่างไปทั่ว ทำให้ทิวแนวไม้ริมราวป่าไม่ได้มืดมิดนัก นางโตพีผู้แอบซุ่มอยู่ในพุ่มไม้จึงรู้สึกหวั่นใจว่า สุดท้ายแล้วสมุนของไอ้โกงหยำบา จะพบนางได้ในที่สุด นางจึงหวายฟ้าต่อพระเป็นเจ้าทองจริงแห่งเมืองมณีคำแดนสูงสิ่งศักดิ์คู่เมือง เสื้อเมือง ทรงเมืองและเจ้าไล่หอราวป่า ผู้เป็นเจ้าแห่งผีไพรผู้พิทักษ์แห่งภูติในป่าไล่หอหลวง ผู้ปกป้องเมืองมณีคำแดนสูง ขอให้นางอย่าได้ต้องเสียเกียรติตกเป็นข้าชีวิตเมืองมณีนครด้วยการเป็นเมียไอ้โกงหยำบา ผู้เป็นแม่ทัพเอกแห่งเมืองมณีนครแดนต่ำ อริราชศัตรูแห่งเมืองมณีคำแดนสูง ซึ่งในอดีตกาลอันไกลโพ้นเคยมีตำนานปรัมปราแห่งร้อยนครหนึ่งเมืองผี ได้กล่าวว่าเดิมนั้นเมืองทั้งสองคือเมืองเดียวกัน ตั้งแต่พระเป็นเจ้าได้สร้างเมืองมณีเลอสวรรค์และมอบเมืองนี้ให้บุตรแห่งพระองค์ทรงปกครองคือพระเจ้าทองจริง กับพระเจ้าทองแปร ก่อนที่พระเป็นเจ้าจะเสด็จนิวัตรกับเมืองฟ้าแมนแดนสวรรค์ไป ได้ทรงมอบประทีปศักดิ์สิทธิ์อันแสนบริสุทธิ์และโชติรสมณีวิเศษอันสูงค่าไว้ให้ ต่อมาพระเจ้าทองแปรผู้เป็นน้องได้เกิดจิตริษยาต้องการครอบครอง สมบัติวิเศษทั้งสองไว้เอง จึงทำให้ขู่เข็ญบังคับจะแย้งเมืองจากพระเจ้าทองจริงผู้มีสัตย์ แต่ก็กลับพ่ายแพ้ต่อบุญบารมีของพระเจ้าทองจริงอย่างสิ้นท่า แต่ถึงกระนั้นพระเจ้าทองจริงที่มีพระทัยดีรักพระอนุชาและเห็นแก่พระเกียรติ์แห่งวงศ์เลอสวรรค์ของปู่เจ้าผีฟ้าพญาแถน พระเจ้าทองจริงจึงได้ยอมให้พระเจ้าทองแปรปกครองเมือง แต่นั้นมาเมืองมณีเลอสวรรค์จึงได้ปกครองโดยพระเจ้าทองแปร แต่เนื่องจากพระเจ้าทองแปรไม่ทรงไว้ซึ่งสัจธรรม ผู้คนในเมืองก็เริ่มเอาเยี่ยงอย่างไม่ดีต่าง ๆ เช่นจะรับเอาประเวณีต่างถิ่นมากหลายมา ทำให้ลูกหลานลืมสิ้นสิ่งศีลธรรมอันดี ทำให้บ้านเมืองมีโรงค้าสุราเมลัย และบ่อนการพนัน สิ่งอบายมุขมากนัก ความชั่วและบาปของพระเจ้าทองแปรและการประพฤติที่ผิดจารีตของชาวเมืองมณีเลอสวรรค์ เป็นสิ่งที่สร้างความระทมทุกข์เหลือที่พระเจ้าทองจริงจะรับได้ พระองค์จึงอพยพพลเมืองมณีเลอสวรรค์ทั้งหมดที่ยังภักดีต่อพระองค์และยึดมั่นในศีลในธรรมไปอยู่ที่เขาเจ้าไล่และเอาสิ่งวิเศษทั้งสองที่เป็นสมบัติเดิมของพระองค์คือ ประทีปศักดิ์สิทธิ์และแก้วโชติรสมณีวิเศษไปด้วย แล้วพระเจ้าทองจริงจึงได้เนรมิตป่าเจ้าไล่หอหลวงขึ้น เป็นป้อมปราการป้องกันไม่ให้พวกชาวเมืองที่ชั่วร้าย เข้ามาสอนสั่งสิ่งผิดจารีตกับพลเมืองของพระองค์ได้ สร้างความเคียดแค้นให้กับพระเจ้าทองแปรยิ่งนักที่ตูเอาว่าพระเจ้าทองจริงลักเอาสมบัติวิเศษไว้คนเดียว แต่นั้นมา เมืองมณีนครเลอสวรรค์ ก็ได้แบ่งแยกเป็นเมืองมณีนครแดนต่ำและเมืองมณีคำแดนสูง และทั้งสองก็ได้กลายเป็นอริศัตรูต่อกันเพราะการผูกเวรของพระเจ้าทองแปรบรรพกษัตริย์แห่งเมืองมณีนครแดนต่ำมาแต่ครั้งบรรพกาลล่วงมาแล้วนับเจ็ดร้อยปี เพื่อแย้งชิงของวิเศษทั้งสอง โดยต่อมาแก้วโชติรสมณีวิเศษก็ได้สูญหายไป เหลือแต่ประทีปศักดิ์สิทธิ์แห่งเมืองมณีคำแสนสูงที่ถูกรักษาไว้อย่างดีที่หอหลวงนางชี อันศักดิ์สิทธิ์
แม้ปัจจุบันนี้ซึ่งป่าไม้ศักดิ์สิทธิ์ก็ยังได้รับการปกป้องคุ้มครองด้วยวิญาณศักดิ์สิทธิ์ของ เจ้าไล่หอราวป่า ซึ่งเดิมคือลูกหลานของพระเจ้าทองจริงผู้ได้สละชีวิตตนรบกับเจ้าเลอสรวงลูกหลานของพระเจ้าทองแปร เพื่อปกป้องบ้านเมืองของพระองค์เอง ดังนั้นข้า “โตพี” บุตรีแห่ง “จริงกูป่า” เจ้าหลวงแห่งชาวมณีคำทั้งปวง จึงขอให้อำนาจของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่ปกป้องเมืองมณีคำแดนสูงและป่าเจ้าไล่หอหลวงนี้ จงคุ้มครองให้ข้ารอดจากการเป็นเครื่องบรรณาการให้กับเมืองมณีนครแดนต่ำนั้นด้วยเถิด ซึ่งแม้ว่าข้ารอดในวันแม้อายุข้าจะสิ้นลงไปอีก ยี่สิบปีก็ยินดี.....แม้ว่าข้าจะตายไปก็ดีข้าไม่ขอเป็นเมียไอ้โกงหยำบา นายทัพแห่งมณีนครเป็นอันขาด.....เจ้านางโตพี ภาวนาในใจเช่นนั้น
ดูเหมือนคำภาวนาของนางจะเป็นผล ทำให้อยู่ ๆ ก็บังเกิด เมฆหมอกขึ้นบังแสงแห่งจันทร์จนมืดมิดเป็นเวลานาน สุดท้ายทหารทั้งหลายที่ถูกส่งไปค้นหาเจ้านางโตพี พระคู่หมั่นของโกงหยำบา ก็กลับมารายงานว่า พวกเขาไม่อาจจะหา เจ้านางโตพีพบ อีกทั้งได้ยินเสียงเสือซึ่งเชื่อว่าเป็นวิญาณของเจ้าไล่หอราวป่าทำให้ทหารทั้งหลายเสียขวัญไม่กล้าเข้าไปคนหาในป่าต่อ ทำให้โกงหยำบาโกรธเกี้ยวเป็นอันมากสั่งลงโทษทหารพวกนั้นเสียเวลาเป็นอันมาก สุดท้ายก็จนใจจึงสั่งให้พักทัพรออยู่จนเช้าจึงค่อยออกค้นหาอีกที
ในระหว่างนั้นเจ้านางโตพี จึงได้สบโอกาสหนีไป ด้วยอาศัยความชำนาญในการเดินป่า แต่เนื่องจากนางไม่สามารถกลับไปที่คุ้มเจ้านายหัวได้อีก แรกคิดว่าจะไปหลบซ่อนตนที่หอหลวงนางชีอันศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็เจ็บใจที่กัมมุเทวี นางห้ามผู้รักษาประทีปศักดิ์สิทธิได้เคยหักหลังนางในการบอกที่ซ่อนของนางให้กับโกงหยำบาและพ่อหัวของนาง เมื่อกาลครั้งก่อน นางจึงคิดแต่ว่าจะหนีขึ้นไปซ่อนที่ป่าเจ้าไล่หอหลวงตอนบนที่ผู้เฒ่าผู้แก่เล่ากันมาตามตำนานร้อยนครหนึ่งเมืองผีว่า เป็นประตูเข้าสู่เมืองหยาดฟ้าแดนผีของผีหลวงแม่ย่าหยาดฟ้า ซึ่งเป็นเสมือนเมืองลับแลที่น่ากลัวและเขตหวงห้ามสำหรับชาวร้อยนครถิ่นกาขาว ที่ลือกันว่าใครที่เขาไปแล้วจะไม่ได้กลับ มาซึ่งหนทางนั้นทุลักทุเลยิ่งนัก เพราะนางจะต้องปีนข้ามบริเวณผามณีแสงด้านตะวันตกของเขาเจ้าไล่ไปที่ว่ากันว่า ฆ่าชีวิตคนเดินกระเวนเจนป่ามานับครั้งมิถ้วน ซึ่งก็มิผิดกันกับชีวิตนางเมื่อนางไต่ขึ้นไปได้สูงพอควรในบริเวณหน้าผาที่สูงชัน และแล้วนางก็พลาดซึ่งสุดท้ายก็กลายเป็นความผิดพลาดครั้งสุดท้ายในชีวิตที่นำมาซึ่งความสุขและทุกข์ระทมแค้นในชีวิตของนาง........
เจ้านางโตพีพลัดตกจากผาเจ้าไล่หอหลวง ซึ่งฆ่าชีวิตคนมานักต่อนักแล้ว และนางก็คงจะสิ้นชีพไปแล้วในความมืดที่นานแสนนาน และเหมือนว่ามีแสงสว่างบางอย่างแวบเข้ามาในความมืดนั้น หรือว่าจะเป็นพระรัศมีแห่งพระเป็นเจ้าทองจริง จิตของนางตามแสงสว่างนั้นไป ซึ่งแสงนั้นได้สว่างยิ่งขึ้นและเขามาล้อมรอบนางไว้ พร้อมกับความเจ็บปวดมากขึ้นทำให้สุดท้ายแล้วนางก็กรีดร้องออกมาด้วยเสียงอันดัง
เจ้านางโตพี : โอ้ย ! โอ้ย ! โอ้ย ! เจ็บตายโหงตายห่า อะไรขนาดนี้
ก็แม่หญิงตกผาสูงสุดตามาจะไม่เจ็บนักได้ฉันใด ตัวก็โตเกเรเกตุงนักหนอ ปากคอก็หยาบช้าไม่น่าชื่นชมเลย....เสียงหนึ่งกล่าวขึ้นมา ทำให้เจ้านางโตพี โกรธนักเกิดมาแต่อ้อนแต่ออกจนบัดนี้ยังไม่มีใครกล้าว่าคำร้ายน้อยหนึ่งให้นางระคายใจเลยแม้แต่น้อยนิด
เจ้านางโตพี : เจ็บใจข้านัก ใครกันช่างบังอาจ ไม่เกรงหัวตนจะหลุดจากบามากล้าว่าเจ้านางโตพีบุตรีแห่งเจ้าหลวงนายหัว “จริงกูป่า”.... (นางพูดบ่นในใจ) จากนั้นด้วยแรงทิฐิมานะประกอบกับความเจ็บใจสายตาของนางที่พร่ามัวก็ได้มองชัดเจนขึ้นในทันที ก็ต้องตกตะลึงในความงามของหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า หรือว่านี้คือผีฟ้าพญาแถนผู้สถิตอยู่ในเมืองแมน หรือภูติพรายตนใดในป่าเจ้าไล่หอหลวงช่างแกล้งนิมิตกายตนมาให้หมดจดลออหล่อเหลานัก ดังรูปแทนองค์พระเป็นเจ้าทองจริงก็ไม่ปาน หรือนี้จะเป็นสวรรค์ (นางโตพีสงสัยได้แต่มองตาปริบ ๆ ด้วยความเขินอาย) จนหนุ่มรูปงามนั้นหัวร่อ แล้วกล่าวว่า
“ข้าชื่อคำพา” คำพากล่าวเช่นนั้น ก่อนที่สติของเจ้านางโตพีจะเลอะเลือน และเข้าสู่ภวังค์อันแสนสวยงามพร้อมด้วยความฝันอันแสนหวาน ที่ยังคงมีชื่อของ “คำพา” ก้องกังวานอยู่แสนนาน
หลังจากนั้นเจ้านางโตพีก็รักษาตัวจนหายในเรือนของไอ้คำพา นายพรานป่าผู้เป็นกำพร้า โดยแม้ว่าไอ้คำพาจะไล่เท่าใดนางก็ไม่ยอมไป กลับมอบกายถวายตัวเป็นหนึ่งบาทบริจาริกาในสวรรค์หลังน้อยในกลางป่าเจ้าไล่หอหลวง ที่ตีนผามณีแสงนั้น เจ้านางโตพี ซึ่งบัดนี้คือนางโตพีได้รับใช้ไอ้คำพา ทุกอย่างให้ถึงใจเรียกว่า ไอ้คำพาจะให้ทำสิ่งใด นางก็ทำให้ทุกอย่าง ซึ่งต่างจากชีวิตในคุ้มฟ้าหอหลวงของนางอย่างกับฟ้ากับเหว แต่ที่นี่นางสุขใจแม้ว่าจะไม่สบายกาย นางเรียนรู้งานบ้านป่าที่นางเคยดูแคลนว่าต่ำช้าเหลือหลายด้วยการว่าง่ายจากไอ้คำพา แรก ๆ ก็ลำบากสายตัวแทบขาด แต่สุดท้ายด้วยความจริงใจนางก็สามารถเอาชนะใจไอ้คำพาหนุ่มรูปงามที่แสนจิตใจดีได้ ทั้งสองเสวยสุขร่วมกันมาแสนนานจนวันหนึ่งฝันร้ายของนางก็กลับมาเยือน เมื่อวันหนึ่งนางได้เห็นทหารคนหนึ่ง ที่นางจำได้ว่าเป็นคนของไอ้นายพลโกงหยำบาแอบมาคุยกันเงียบกับ คำพา ผัวของนาง สิ่งนั้นสร้างความสงสัยให้นางเป็นอันมาก เมื่อถามผัวของนางก็ได้แต่ทำทีโกรธว่านางเกียจคร้านหาเรื่องกวนใจเขานักงานการไม่รู้จักทำงานการเรือนหรือไร? นางโตพีจึงได้แต่นิ่งเงียบเก็บความสงสัยไว้ในใจตลอด จนวันหนึ่งไอ้คำพาผัวนางก็มาขอเข้าป่าไปล่าสัตว์แล้วก็หายไปเป็นเดือน ๆ ทำให้นางเป็นห่วงนักกะว่าวันพรุ่งจะเข้าป่าไปตาม แต่ในคืนนั้นนางผวาตื่นขึ้นมาหาเห็นผัวของนางไอ้คำพาหายไป ก็ใจหาย ต่อมาจึงนึกขึ้นได้ว่าผัวนางไปป่ายังไม่กลับมาเช้านี้แล้วครุ่นคิดว่าจะไปตาม คิดแล้วก็ร้องไห้
แต่อยู่ ๆ รอบ ๆ เรือนมีแต่แสงจากคบไฟดวงต่าง ๆ ล้อมเข้ามาเหมือนดวงตานับร้อยของฝูงสัตว์ร้ายหรือผีพรายในป่าที่ซุ่มมองเหยื่อก่อนเวลาจะกระโจนเข้าใส่ นางจึงคลำหาได้มีดสั้นเล่มหนึ่งในเรือนของนางก็นำมาเก็บซ่อนไว้กันภัย และแล้วประตูเรือนก็ถูกทำลายลงไอ้โกงหยำบาก็ปรากฏขึ้นมาอย่างกับผีร้ายในเวลานั้น ซึ่งแม้นางจะอ้อนวอนมันสักเท่าใด มันก็ไม่ละเว้นให้ลูกน้อง ที่เป็นทหารของมันมาฉุดตัวนางไปขึ้นกรงกระเวนเข้าเมืองมณีนครเยี่ยงสัตว์ร้ายที่จับได้ในป่าทั้งที่ความจริงนางเป็นเพียงหญิงงามที่แสนอ่อนแอเท่านั้น โดยระหว่างทางที่ทุกทรมานนั้นนางมีอาการครึ่งหลับครึ่งตื่น แต่ไม่ว่าหลับหรือตื่นใจนางก็ครุ่นคิดถึงแต่เรื่องและเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของตนเอง จากนั้นจึงได้รู้สิ่งที่ทำลายชีวิตของนางให้พังพินาศลงในทันที ซึ่งนางเชื่อว่าได้ยินมาจากปากของไอ้โกงหยำบาว่า
โกงหยำบา: เย็นวันหนึ่งไอ้สายสนิท พลทหารผู้เป็นเสือหมอบแมวเซาของข้าแม่ทัพที่ยิ่งใหญ่โกงหยำบาแห่งมณีนครแดนต่ำ ผู้แอบท่องไปทั่วเมืองมณีคำแดนสูง เพื่อหาข่าวต่างของเมืองมณีคำแดนสูง ได้มาพบเห็นเจ้า เจ้านางโตพีเข้าจึงได้ส่งข่าวพิราบให้ข้ารู้ ซึ่งข้าก็สั่งให้มันนั้นมาตีสนิทไอ้คำพา และให้รางวัลไอ้คำพาให้ล่อลวงเจ้ามาให้ข้าสำเร็จโทษ ซึ่งเหมือนว่าไอ้คำพาก็พอใจกับสินสิ่งทรัพย์ที่ได้ เพราะมันยอมให้ความร่วมมือด้วยดีและนัดวันให้ ข้ามารับเจ้าไป ซึ่งตอนนี้ไอ้คำพาได้จากนางไปแล้วพร้อมกับรางวัลก้อนโต
เจ้านางโตพี : ไม่จริงข้าไม่เชื่อ
เจ้านางโตพีกรีดร้อง และก็สลบไปคากรงขังสัตว์ ท่ามกลางความสะใจของทหารมณีนครและที่สำคัญที่สุดนายทัพใหญ่โกงหยำบา ในระหว่างการเดินทางที่ยาวไกลจากป่าเมืองมณีคำแดนสูงไปสู่เมืองมณีนครแดนต่ำที่แสนไกลนั้น เจ้านางโตพีได้รับการทรมานและดูหมิ่นพระเกียรติต่างเหลือประมาณ ถูกทำร้ายและทำลายทั้งกายและใจไม่ต่างไปจากพวกนางทาสทาสี ทาสในเรือนเบี้ย ซึ่งไม่เคยมีอยู่ในเมืองมณีคำแดนสูงเลย จึงไม่ต้องบรรยายว่า เจ้านางโตพีจะระทมทุกข์กับความหยาบช้าและเลวร้ายของมนุษย์เพศผู้เช่นใดอย่างที่นางหรือจะสามารถจินตนาการได้ จนกระทั่งนางเสียสติไปในที่สุด
สุดท้ายนางก็ถูกพาเข้าไปในสภาของเมืองมณีนครเพื่อตัดสินความท่ามกลางสายตาดูถูกของชาวเมืองมณีนครที่แสนชั่วร้าย มันคงดูถูกว่านี่หรือเจ้านางโตพี ผู้สูงศักดิ์แห่งเมืองมณีคำแดนสูง ดินแดนแห่งผู้มีใจสูง และสูงส่งแห่งพระเป็นเจ้าทองจริงแต่กับมีสภาพโสมมไม่ต่างไปจากสัตว์เพศเมียที่เขาลากเข้ามาประจานไว้กลางเมือง แม้นางหญิงงามเมืองยังมีสภาพที่ดีไปกว่าตนยิ่งนัก และแล้วนางก็ได้เห็นไอ้คำพายิ้มเยาะอยู่ในทีในที่นั้น นางก็ซาบซึ้งทันทีว่าบัดนี้มันคือผู้ทรยศคิดคดต่อนาง ผู้ที่ครั้งหนึ่งนางเคยรักมากที่สุดในชีวิต ก็เพราะว่ามันมีรูปงามนัก แต่จิตใจของมันโฉดชั่วเลวร้ายสามานย์ยิ่งนักนางแค้นและกัดฟัดอยู่เงียบ ๆ จนกระทั่งมันเดินยิ้มเข้ามาหานาง ตอนนี้นางไม่ได้เห็นไอ้คำพาผู้สง่างามอีกแล้ว แต่เห็นแต่ปีศาจร้ายในคราบมนุษย์ อย่างไม่มีใครคาดคิด นางได้แย้งดาบของทหารองครักษ์ที่อยู่ใกล้ ๆ และแทงไปที่ไอ้คำพาทันที ท่ามกลางการตกตะลึงและเสียอืออึงทั้งเมือง แล้วก็กลายเป็นเสียงร้องไห้
ก่อนที่ไอ้คำพาจะตายได้มองนางด้วยสายตาตัดพ้อต่อว่า แต่ก็ไม่ได้พูดสิ่งใดนอกจากมอบพยายามมอบห่อผ้าเก่า ๆ อันหนึ่งให้นาง แต่แล้วไอ้คำพาก็สิ้นใจไป
“เจ้าบ้าไปแล้วหรือ ? ” เสียงของเจ้าหลวงแห่งมณีนคร แม่เจ้าดาราพรกล่าวด้วยเสียงอันสั่นเครือ พร้อมเขากอดร่างที่ไร้วิญญาณของไอ้คำพา หรือพระราชนัดดา เจ้าคำพา ผู้สูญหายไปในการทำศึกกันระหว่างนครมณีคำแดนสูง และนครมณีคำแดนต่ำ ที่ผามณีแสงที่พระราชนัดดา เจ้าคำพาแม่ทัพได้สูญหาย ตกผามณีแสงหายไป ปรากกฎว่าเจ้าคำพา ได้รับการช่วยเหลือจากพรานป่าแต่เกิดความจำเสื่อมจึงใช้ชีวิตอยู่ในป่าเยี่ยงพรานป่าแต่นั้นมาจนได้พบกับเจ้านางโตพีแห่งเมืองมณีคำและได้อยู่กินกันเป็นผัวเมียเช่นเดียวกับชาวบ้านป่าโดยต่างฝ่ายไม่ได้ล่วงรู้ชาติกำเนิดของอีกฝ่ายหนึ่งที่ถูกปิดบังไว้ แต่เหมือนชะตาเช่นตลกวันหนึ่งนายทหารคนหนึ่งแห่งเมืองมณีนครที่แอบไปสืบราชการลับเรื่องการหายตัวไปของเจ้านางโตพี ผู้ถูกกำหนดให้เข้าพิธีสมรสกับแม่ทัพใหญ่โกงหยำบา ผู้มีฐานะเป็นรัชทายาทแห่งเมืองมณีนครเมืองต่ำแทนเจ้าคำพา ภายหลังการหายตัวไปของเจ้าคำพา และการตายอย่างมีเงื่อนงำต่าง ๆ ของเจ้านายฝ่ายชายทั้งหลายแห่งเมืองมณีนคร 
ทำให้การตายของเจ้าคำพา อาจจะเป็นการสิ้นสุดของราชวงศ์เลอสวรรค์ แห่งเมืองมณีนครแดนต่ำที่สืบเชื่อสายมาจากพระเจ้าทองแปรผู้ยิ่งใหญ่ และเป็นสิ่งที่สร้างความโทรมมนัสให้กับแม่เจ้าดาราพรยิ่งนัก จนทำให้เจ้านางอยากที่จะฆ่านางโตพีให้ตายตามเจ้าคำพาไปอีกคนด้วยมือของตนเอง
แต่แล้วทหารก็มาบอกว่า เจ้าหลวงนายหัว จริงกูบา แห่งมณีคำแสนสูงเสด็จมาถึง หลายครั้งจนแม่เจ้าดารพรได้สติจึงได้เชิญเข้ามาและเมื่อเจ้าหลวงนายหัว จริงกูบาและคณะทูตทั้งหลายที่ได้รับเชิญให้มาในงานอภิเษก เจ้านางโตพีบุตรแห่งตนกับเจ้าคำพารัชทายาทอัดชอบธรรมแห่งมณีนครเมืองต่ำ ได้ทราบเรื่องทั้งหมดก็ตกใจจนอยากจะสิ้นใจไปตรงนั้น
“นี่คงจะเป็นคำสาปของ พระเป็นเจ้าทองจริง ที่เจ้านางโตพี กระทำการผิดผี ลอบหนีไปจากพิธีสมรสแห่งตน ไปอยู่กินกันเองไม่ได้บอกกล่าวให้ผีปู่ผีย่าของตนรับรู้” เจ้าหลวงนายหัว จริงกูป่า กล่าวขึ้นด้วยความอดสูใจเป็นอย่างยิ่ง
เจ้าหลวงนายหัวจริงกูป่า : ดังนั้นเพื่อเป็นการไถ่โทษ เราจะขอคืน เจ้านางกัมมุพระราชนัดดาองค์หนึ่งของพระองค์ที่เคยถูกฝ่ายเมืองมณีคำนำไปเป็นตัวประกัน โดยให้ทำหน้าที่เป็น กัมมุเทวี นางห้ามผู้ดูแลประทีปศักดิ์สิทธิ์ที่หอหลวงนางชีแห่งเมืองมณีคำแดนสูง ให้กับพระองค์ แม่เจ้าดาราพร
จากนั้นราชทูตแห่งมณีคำแดนสูงก็เชิญเจ้านางกัมมุ อดีตกัมมุเทวี นางห้ามผู้เคยมีหน้าที่ดูแลประทีปศักดิ์สิทธิ์แห่งหอหลวงนางชีเข้ามา
มหามนตรีแห่งมณีนคร : ด้วยความยินดีและเพื่อเป็นการล้างสิ่งอวมงคลที่เกิดขึ้นในวัน ข้าขอเสนอให้เจ้านางกัมมุ อภิเษกกับ โกงหยำบา รัชทายาทอันดับที่สองแห่งมณีนคร เพื่อสืบเชื้อสายของราชวงค์เลอสวรรค์ของพระเป็นเจ้าทองแปรต่อไป
โกงหยำบา : แล้วจะทำอย่างไรกับเจ้านางโตพี
เจ้าหลวงนายหัวจริงกูป่า : ข้าจะให้กักไว้ที่คุ้มเจ้าโทษ เป็นนางห้ามไปจนวันตาย (เจ้าหลวงนายหัวจริงกูป่ากล่าวด้วยความทุกข์ระทมยิ่งเหลือพรรณนา)
ฝ่ายเจ้านางกัมมุ เมื่อเข้ามาถึงก็ตกพระทัยกับการจากไปโดยไม่มีเหตุอันควรของพระเชษฐาภารดา เจ้าคำพา ถึงกับทรงกรรแสงไห้ จากนั้นก็สบหน้าเจ้านางโตพีด้วยความเกลียดชัง
เจ้านางกัมมุ : เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือ ? (นางถามเจ้านางโตพี)
แต่ก็ไม่มีคำตอบนอกจากดวงตาที่เลือนลอยไม่มีจุดหมายของเจ้านางโตพี
โกงหยำบาสบโอกาสก็เข้ามาปลอบใจเจ้านางกัมมุ เป็นอันมากพร้อมกับเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นตามจริงว่า
โกงหยำบา : ข้านั้นได้รู้ว่าเจ้าคำพายังมีชีวิตอยู่ จึงได้คุมไพร่พลไปเชิญเสด็จเจ้าคำพา กลับมาเมืองมณีนครทันที ต่อมาก็เจ้าคำพาได้รับการรักษาจนฟื้นความจำได้ ก็นึกถึงเจ้านางโตพี ซึ่งเคยอยู่กินเป็นสามีภรรยาในหมู่บ้านพรานป่า ก็ให้ตนกับพวกไพร่ทหารออกไปรับ ซึ่งตนเมื่อทราบว่าเจ้านางโตพีได้เป็นชายาเจ้าคำพาแล้วก็ไม่ได้คิดแค้นใจอะไรกับนาง ตลอดระยะเวลาเดินทางกลับมาก็ดูแลนางด้วยดี แต่อาจจะเนื่องจากความลำบากในการเดินทาง ต่อมานางถูกผีสมิงเข้าสิง นางจึงอาละวาดจะเอามีดที่แอบซ่อนมาไล่ฟันไพร่ทหารเลวเป็นอันมาก จนนายทหารคนสนิทข้า ไอ้สายสนิทถูกนางฆ่าตาย ข้าจึงจำต้องมัดนางไว้ และใส่กรงเหล็กของพวกพรานป่า เนื่องจากจะป้องกันอันตรายนางจากตัวของนางเองผู้เป็นอันตรายที่สุดในเวลานั้น
ถ้อยคำของนายทัพโกงหยำบา เสียดแทงใจเจ้านางดาราพรยิ่งนัก ใจนางนั้นถ้าไม่เห็นแก่สัมพันธไมตรีระหว่างนครก็ปรารถนาจะฆ่าเจ้านางโตพีให้ตายไปเสียตรงนี้ในสาแก่ใจนาง ให้สมแค้นที่นางบ้านั้นมาพรากพระนัดดาผู้เป็นที่รักยิ่งของนางไป
แต่แล้วโดยไม่คาดคิด เจ้านางโตพีซึ่งเหมือนไม่มีสติในเวลานั้น ก็เหมือนจะได้ยินเรื่องราวต่าง ๆ และสติก็กลับมาชั่วขณะ ไหนเลยจะทนต่อความระทมทุกข์แห่งการจากไปของพระสวามีอันเป็นที่รักได้ นางจึงใช้ดาบเล่มเดียวกันที่ได้ปลิดชีพสามีที่บริสุทธิ์ของนางนั้นปลิดชีพตัวเองตายตามไปด้วยหวังว่าจะได้ไปพบกันในเมืองแมนแดนฟ้าในภพหน้า สร้างความตกตะลึงและสังเวชใจให้กับชาวเมืองทั้งสองในที่นั้น
ซึ่งภาพการตายอันน่าสยดสยองของเจ้าคำพา กับเจ้านางโตพีนี้เป็นที่น่าสังเวชใจยิ่งนัก เจ้านางกัมมุผู้เคยเป็นอริกับเจ้านางโตพี ทั้งในด้านความงามและในเรื่องต่าง ๆ นั้น นางก็ถึงกับไปซบอกโกงหยำบา ว่าที่คู่สมรสในอนาคตอันใกล้ ร้องไห้ด้วยความสังเวชใจสงสารในชะตาที่อาภัพน่าเวทนาของ คู่รักทั้งสองซึ่งตำนานรักของทั้งสองก็ได้กล่าวขานและก็เป็นเรื่องราวให้ชาวมณีเลอสวรรค์ได้สำนึกถึงพิษภัยแห่งรัก กับความรักมั่นที่แท้จริงตลอดไป โดยเฉพาะในเทศกาลบุญอู่ไก่กับปลา ที่พลีกรรมสังเวยแก่ผีเจ้าไล่หอราวป่า อันศักดิ์สิทธิ์
หลายสิบปีผ่านไป กัมมุเทวีนางห้ามผู้เฒ่า แห่งหอหลวงนางชี ซึ่งในเวลานี้อย่างเข้าวัยชราแปดสิบแล้ว แต่ก็ยังมีหน้าที่ดูแลไฟศักดิ์สิทธิ์ทำให้นางไม่ยังดูสาวสะพรั่งอยู่เกินจริงหากแต่ดวงตาของนางนั้นได้มืดบอดแล้ว เพราะนางไม่ประสงค์จะเห็นความชั่วร้ายใด ๆ ในโลกนี้อีก นางได้เล่าเรื่องราวเหล่านี้ที่เกี่ยวกับชีวิตของนางที่พลิกผันแปรเปลี่ยนไปตลอด ให้นางห้ามนางชีสาวถือบวชใหม่ได้ฟังถึงความสำคัญในการประกอบพิธีกรรมบวงสรวง ผีหลวงเจ้าไล่หอราวป่า และที่มาของฟ้อนไล่หอราวป่า นาฏกรรมที่เป็นเรื่องราวอุบัติเหตุรักแห่ง คำพา และโตพี ดวงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ผู้เป็นตัวแทนของรักแท้แห่งนครมณีเลอสวรรค์ที่ได้หลอมรวมกันเป็นหนึ่งได้อีกครั้งด้วยความโศกเศร้าระทมทุกข์ของคู่รักทั้งสอง แน่นอนโกงหยำบาอาจจะรวมแผ่นดินทั้งสองไว้ด้วยพละกำลังและเล่ห์กลสงคราม แต่ใจของชาวเมืองทั้งสองนั้นรวมเป็นหนึ่งได้ด้วยวีรกรรมแห่งวีรชนเท่านั้น จากนั้นกัมมุเทวีนางห้าม ก็ได้นำหอผ้าที่เจ้าคำพาเคยจะมอบให้ เจ้านางโตพี
ซึ่งหลังจากทั้งสองตายกัมมุเทวี หรือเจ้านางกัมมุเวลานั้นได้เก็บไว้ไม่ให้ผู้ใดรู้ในระหว่างชุลมุนวุ่นวาย ในวันนี้เป็นฤกษ์ดีที่นางจะเปิดออกให้เหล่านางชีและชาวเมืองมณีเลอสวรรค์ทั้งหลายดู ซึ่งที่แท้ในห่อผ้านั้นคือ แก้วโชติรสมณีวิเศษที่หายไปนั้นเอง แสงของแก้ววิเศษนั้นทำดวงตาที่มืดสนิทของนางกลับมาสว่างอีกครั้งหนึ่ง เช่นเดียวกับความหวังของชาวมณีเลอสวรรค์ทั้งปวง หลังจากการตายของเจ้าหลวงนายหัวโกงหยำบา ทรราชของพวกเขา

ภาพที่ ๒ มณีปุรีแดนซ์ ในรัฐอัสสัมของอินเดีย
ที่มา http://www.smh.com.au/ffximage/2004/10/14/folkdancers_gallery__405x550,0.jpg
.........................

เรื่องที่ ๓ เอ็ม จี ดับบลิว ศัตรูปาล์ ๕๑๒
ปีค.ศ. ๓๐๐๐ รัฐบาลโลกได้ถือกำเนิดขึ้นเนื่องจากเหตุวิกฤตการณ์ต่าง ๆ มากมาย ทั้งน้ำมันขาดแคลน น้ำแข็งขั้วโลกละลายหมด น้ำท่วมโลก และที่สำคัญที่สุด ผู้ชายขาดแคลน ไม่เพียงที่มีอยู่จะหันไปนิยมรักร่วมเพศเดียวกันให้เสียของแล้ว อัตราการกำเนิดของเพศชายมีเพียงแค่ ๑ ต่อร้อยล้านคนเท่านั้น ทำให้อีกห้าร้อยปีต่อมาคือปี ค.ศ. ๓๕๐๐ ผู้ชายก็สาบสูญไปจากโลกนี้ จึงมีการพูดถึงโครงการ “เมล กิ๊ฟท์ ฟอร์ เดอะ เวิลด์” (Male GIFE for the world) ในประชาคมโลกส่วนต่าง ๆ ของโลกหรือโครงการ ”ศัตรูปาล์” ที่รู้จักกันเป็นอย่างดีในไทยแลนด์ ศูนย์กลางของรัฐบาลกลางเขตการปกครองโลกของอาเซียน หรือเรียกอีกอย่างว่า เอ็ม จี ดับบลิว ศัตรูปาล์
เอเย่นต์ เจมส์ ตำรวจเหล็กของสหพันธ์สาธารณรัฐอาเซียนหรือ เอ เอส (A. S.) ได้ติดตาม คนร้ายที่อาจจะแพร่เชื้อ พันธุกรรมเอ็ม ให้กับสตรีหลายนางในเมือง รัมย์โคราช์ และ ลพบุร์นคัร ในพื้นที่การปกครองของ Y. A. B. ซึ่งสมัยก่อนรู้จักกันในนามของ โยธยาอาเซียน แบงก์ องค์กรการเงินแห่งหนึ่งในหลายองค์กรซึ่งมีอำนาจการครอบครองรัฐหลังจากการที่รัฐบาลไทยซึ่งก็เหมือนประเทศอื่นๆที่ไม่สามารถต้านกระแสทุนนิยมได้ ตอนนี้พื้นที่การปกครองของโลกส่วนใหญ่ถูกปกครองด้วยองค์กรทุนนิยมทั้งหลายที่เดิมก็คือธนาคารหรือแหล่งเงินกู้ในอดีต ที่เข้ามาแบ่งพื้นที่ต่างๆ ที่ตนมีอำนาจจัดการขายเข้าตลาดในฐานะของอสังหาริมทรัพย์และบางก็ซื้อกลับเข้ามาเพื่อบริหารจัดการกันส่วนท้องถิ่นกันเอง ปัจจุบันพื้นที่ต่างๆ จึงถูกแบ่งแยกเป็นเขตทุนนิยมที่เรียกว่า เขตปกครองพิเศษภายใต้องค์กรมหาชนเพื่อปวงชนเช่น เมืองนครราชสีมาและพื้นที่ของบุรีรัมย์บางส่วนในอดีตปัจจุบันกลายเป็นเขตการปกครอง รัมย์โคราช์ (รัม-โค-รา) หรือ อาร์ เค (R. K.) ส่วน ลพบุรี และนครราชสีมาบางส่วนกลายเป็นเขตการปกครอง ลพบุร์นคัร (ลบ-บุ-นะ-คั่น) หรือ แอล เอ็น (L.N.) เป็นต้น โดยปัจจุบันประชากรส่วนใหญ่ในเขตปกครองโลกอาเซียน นิยมใช้อักษรย่อดังกล่าวแทนนามสกุล เพราะสมัยนี้ปี ค.ศ. ๓๕๕๑ นามสกุลกลายเป็นสัญลักษณ์ของพวกล้าหลัง พวกแตกแยกและต่อต้านสังคมไปเสียแล้ว ตามการจัดระเบียบและหลักการใหม่ของรัฐบาลโลกปัจจุบัน
เอเย่นต์ เจมส์: ถ้าคุณทำประกันกับ องค์กรมหาชนเพื่อปวงชน วาย เอ บี (Y. A. B.) ชีวิตคุณจะปลอดภัยและมีรายได้หลังเกษียณอายุ จากงานในโรงงาน
อาร์ เค แพร: เราต้องการให้คุณซ่อมห้องน้ำรั่วด้านบนและเครื่องกรองน้ำที่ไม่สะอาด
เอเย่นต์ เจมส์: นั้นเป็นหน้าที่ของช่างค่ะ ดิฉันจะโทรศัพท์บอกให้ในภายหลัง ว่าแต่คุณแน่ใจหรือค่ะ ว่าคุณได้จ่ายค่าประกันงวดเดือนที่แล้ว
อาร์ เค แพร: เราจะจ่ายงวดที่เหลือถ้าคุณจะกรุณาส่งช่างมาซ่อมให้ก่อน
เอเย่นต์ เจมส์: อ้อ! คุณค้างชำระประกันหรือค่ะ! ถ้าอย่างนั้นคุณจะต้องโดนปรับ ๔๐ % ของเงินต้นค่ะ! แต่ถ้าคุณยอมจ่ายให้ฉัน ๑๐ % เท่านั้นดิฉันจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น
อาร์ เค แพร : ไม่ละขอบใจ ใครบอกกันว่าเราค้างชำระ และถ้าจริงเราก็จะขอคุยกับทาง Y. A. B. เองคงไม่ต้องรบกวนคุณหรอก ให้มันรู้ไปว่า วาย เอ บี ( Y. A. B.) จะเอาใจแต่พวกไอ้หัวแดง แต่กับคนที่มีบรรพบุรุษอยู่มาเป็นร้อยปีของที่นี่จะไม่สน
เอเย่นต์ เจมส์: (ถอนหายใจ) คุณพูดอย่างนี้ก็ไม่ถูกเดี๋ยวนี้เป็นสหพันธ์สาธารณรัฐอาเซียนแล้ว การแบ่งชาติพันธ์เป็นเรื่องของไดโนเสาร์เต่าล้านปี ถ้าคุณต้องการให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นก็ควรทำประกันชีวิตชั้นหนึ่งกับ Y. A. B.
เอเย่นต์ ทีน่า: เอเย่นต์ เจมส์คะ! เชิญทางนี้ คะ, ดูนี่สิคะ!
เอเย่นต์ เจมส์ เดินผ่านโถงใหญ่ ที่คับแคบของบ้านน๊อกดาวน์ทรงโคราช์แบบโบราณเข้ามาที่ห้องนอนเล็ก ซึ่งภายในห้องนอนเต็มไปด้วยเครื่องให้ความสุขทางเพศดังเช่น หมอนข้าง ตุ๊กตาหมี ตุ๊กตาบาบี้ และที่เลวร้ายที่สุดรูปภาพของดาราชายยุคโบราณ ที่กลายเป็นของสะสมหายากแล้วในยุคสมัยนี้ที่ไม่มีทารกเพศชายเกิดมาเป็นร้อยปียังถือว่าเป็นของผิดกฎหมายอีกด้วย ไม่เท่านั้นที่บนเตียงที่คู่หู เอเย่นต์ ทีน่า ชี้ให้ดูคราบเปื้อนบนผ้าปูที่นอนสีหมองที่น่าจะเคยเป็นสีขาวมาก่อน และด้วยความชำนาญเธอจึงรู้ได้ทันทีว่าน่าจะเป็นอะไร?
เอเย่นต์ เจมส์: ของสัตว์ทดลอง เอ็ม จี ดับบลิว ศัตรูปาล์ ๕๑๒ ใช่หรือไม่ ?
เอเย่นต์ ทีน่า เข้ามาและกดนาฬิกาของเธอ เพื่อส่งรังสีสแกน คราบเปื้อนที่แห้งกรังขึ้นเป็นดวงขาวนั้นทันที่ และก็เปิดภาพฉายสามมิติแบบไตรเมตริก (Trimetric) แสดงผลเป็นภาพโฮโลแกรม พร้อมกับเสียงวิเคราะห์ข้อมูล
ไตรเมตริกซาวด์ : ระบุเป็นโครโมโซมของสัตว์ทดลอง เอ็ม จี ดับบลิว ศัตรูปาล์ ๕๑๒ แน่นอน
เอเย่นต์ เจมส์: เสียใจด้วย อาร์ เค แพร ประกันชีวิตคุณหมดอายุแล้ว
ทันทีที่สิ้นเสียงบอก เอเย่นต์ เจมส์ และ เอเย่นต์ ทีน่า ก็จัดการเก็บกวาดทุกอย่างในที่นั้นทันทีอย่างชำนาญ แรกเลยก็ใช้ปืนเลเซอร์ไร้เสียง ยิงเจาะหัว สตรีชาวรัมย์โคราช์วัยสามสิบห้า อาร์ เค แพร ผู้มีปืนลูกซองแบบโบราณในมือ จากนั้นก็ตรวจหาทั่วทั้งบ้านเมื่อแน่ใจแล้วว่าสัตว์ทดลองไม่ได้อยู่ในบ้านหลังนี้ แล้วจึงให้ของขวัญกับลูก ๆ ของเธอ อาร์ เค แพร ด้วยระเบิดมือแบบตั้งเวลาได้
จากนั้น เอเย่นต์ เจมส์ และ เอเย่นต์ ทีน่า สองเสือสาวตำรวจ เอ เอส (A. S.) ก็เดินนวยนาดออกไปจากบ้านน๊อกดาวน์ปลายสวน แบบมืออาชีพที่ไร้ความปรานีใด ๆ กับพวกรัมย์โคราช์ หรือ อาร์ เค พวกพื้นเมืองล้าสมัยที่ทำผิดกฎของเขตปกครองพิเศษภายใต้องค์กรมหาชนเพื่อปวงชน วาย เอ บี (Y. A. B.) ตามสนธิสัญญาการมอบอำนาจากความร่วมมือของสหพันธ์สาธารณรัฐอาเซียน โดยหน่วยงานของเธอเรียกสั้น ๆ ว่า เอ เอส (A. S.) เป็นเสมือนผู้พิทักษ์ความถูกต้องในสังคมปัจจุบันนี้
จากนั้นไม่นานระเบิดมือตั้งเวลาชนิดพกพาสะดวกก็เริ่มทำงาน เกิดเสียงดังสนั่นคู่หนึ่งทำให้บ้านน๊อกดาวน์เก่า ๆ ทั้งหลังหายไปเหลือไว้แต่หลุมใหญ่ดำ
เอเย่นต์ เจมส์: ไปเถอะ “ทีน่า” เอเย่นต์ เจมส์กล่าวเรียกคู่หูและคู่รักของเธอสั้น ๆ ตามประสาคนรัก อย่ามัวดูรูปพวกดาราหนุ่มโบราณพวกนั้นอยู่เลย เก็บมาเผื่อว่าจะเอาไปขายในตลาดมืดได้
เอเย่นต์ ทีน่า : ตัวเอง! ลืมไปแล้วหรือเปล่าวันนี้เรานัดกันว่าจะต้องไปหา ดร. เอ เอส บี เพื่อให้สกัดยีนส์ของเราเพื่อสร้างทารก ในครรภ์ของฉัน เอเย่นต์ ทีน่า กล่าวขึ้นสำทับ กลัวว่า เอเย่นต์ เจมส์จะเป็นผู้แย้งเธอตั้งครรภ์เสียให้ได้
เอเย่นต์ เจมส์: แต่เราจับสัตว์ทดลอง เอ็ม จี ดับบลิวศัตรูปาล์ ๕๑๒ กลับไปไม่ได้ เธอไม่กลัวหรือ ดร. เอ เอส บี จะลงโทษทำหมันให้เราทั้งคู่
เอเย่นต์ ทีน่า: ดร. เอ เอส บี ยังให้เวลาอีกสัปดาห์หนึ่ง เราไปคุยกับท่านก่อนก็ได้นี่ (เอเย่นต์ ทีน่า กล่าวถึงดร. เอ เอส บี ด้วยความเคารพ)
เอเย่นต์ เจมส์: ก็ได้
เอเย่นต์ เจมส์กล่าวพร้อมทั้งฟาดมือของเธอแรงไปที่หลัง เอเย่นต์ ทีน่า ทำให้ร่างที่ผอมบางเหมือนนางแบบลูกครึ่งเอเชียของเธอปวดร้าวไปทั้งตัว จึงเขาทุบตี เอเย่นต์ เจมส์บ้าง
เอเย่นต์ ทีน่า: นี่แนะ นี่แนะ! เล่นแบบนี้อีกแล้วเค้าไม่ชอบนะตัวเอง
เอเย่นต์ ทีน่า ทุบตี เอเย่นต์ เจมส์บ้าง แต่ก็เหมือนกับการเอาขนนกไปสัมผัสผิวของ เอเย่นต์ ทีน่า ซึ่งถึงแม้ว่าจะเป็นหญิงแต่ก็บึกบึนแข็งแรงอย่างฝรั่ง ทั้งใบหน้าคมสันกับผมทองของเธอ อาจจะเทียบว่าเป็นเทพบุตรของสาว ๆ ในยุคโบราณอย่างรูปปั้นเดวิดของศิลปินมีเกลันเจโล เพียงแต่เธอมีเพศเป็นสตรีก็เท่านั้น จากนั้นเอเย่นต์ เจมส์ก็รวบ เอเย่นต์ ทีน่าไว้บนตัก แล้วบทเพลงแห่งรักของทั้งสองก็ได้บรรเลงอีกครั้ง บนถนนที่หางไกลในยามคำคืนที่มีสายลมเย็นสบาย บนรถเปิดประทุนสีขาวที่มีตรา เอ เอส ...ทั้งสองลืมสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง ต่างมีความสุขที่เอิบอิ่ม ภายใต้ดวงดาวนับล้านดวงเป็นเสมือนแววตาที่จ้องมองเป็นสักขีพยานแห่งรักของทั้งสอง
ซึ่งเหตุการณ์นี้ต่างจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เมื่อหลายเดือนก่อนแบบหน้ามือเป็นหลังตีนเลยที่เดียว เริ่มตั้งแต่ ดร. เอ เอส บี ทำให้สัตว์ทดลอง เอ็ม จี ดับบลิวศัตรูปาล์ ๕๑๒ หลุดออกไป วันนั้น เอเย่นต์ เจมส์ยังจำได้ขึ้นใจเมื่อสำนักงานใหญ่ “วาย” หรือ วาย เอ บี แอน เอ เอส เรียกเธอมือหนึ่งของ เอ เอส ไปพบ ดร. เอ เอส บี เพื่อระงับสถานการณ์ อันตรายระดับ เอส
ดร. เอ เอส บี : เริ่มจากในปี ค.ศ. ๒๐๐๔ นักวิทยาศาสตร์ญี่ปุ่นคนหนึ่งชื่อ โทโมฮิโร สามารถสกัดโคโมโซมจากไข่ของแม่หนูสองตัวและเลือกฝังไว้ในหนูเพศแม่ตัวใดตัวหนึ่ง ต่อมาตั้งแต่ปี ค.ศ. ๓๐๐๐ เป็นต้นมาอัตราการเกิดทารกของเพศชายต่ำลงจนปัจจุบันเป็นศูนย์ดังนั้นโลกปัจจุบันจึงมีแต่ผู้หญิง และผู้หญิงคือเพศที่ยิ่งใหญ่ที่สุด และครองโลก เพศชายไม่ใช่สิ่งจำเป็นอีกต่อไป ปี ค.ศ. ๓๐๕๐ การตั้งครรภ์ทารกเพศหญิงโดยสกัดจากโครโมโซมจากไข่ทั้งสองของคู่สตรีที่สมรสกันเองเป็นเริ่มเป็นที่ยอมรับของสังคมโลก เพราะความเป็นแม่ซึ่งเป็นสิ่งสูงส่งนั้นยังเป็นทีต้องการของผู้หญิงทุกคน ดังนั้นการเลือกให้สตรีซึ่งเป็นคู่รักคนใดคนหนึ่งตั้งครรภ์นั้นจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด อย่างที่พวกเรารู้ซึ้งถึงหัวอกของกันและกัน เพราะกฎหมายปัจจุบันอนุญาตให้มีบุตรได้แค่คนเดียวเนื่องจากประชากรสตรีล้นโลก
ประธานสตรี เอ เอส: ไม่ต้องอ้อมค้อม บอกเขาไปตรง ๆ ดิฉันมีประชุมต่อที่บาหลี
ดร. เอ เอส บี : ค่ะ! แต่เนื่องจากนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำในประชาคมโลกรู้มานานแล้วว่าการที่เราถ่ายทอดทางพันธุกรรมผ่านเพศแม่ผ่านโคโมโซม “เอ็กซ์” ทีสกัดได้เท่านั้นเป็นเวลายาวนานปัจจุบัน ทารกเพศหญิงที่เกิดก็เริ่มอ่อนแอลง และการพยากรณ์จากเครื่องมือที่น่าเชื่อถือได้ทางวิทยาศาสตร์พบว่า อีกแปดสิบปีข้างหน้ามนุษย์สตรีจะความผิดปกติด้านต่าง ๆ พิการ เป็นหมัน อายุสั้น และแท้งบุตรง่าย เพื่อแก่ไขปัญหาประชากรสตรีจะสูญพันธุ์ในอนาคตข้างหน้า ในปี ค.ศ. ๓๕๐๐ ภายใต้โครงการ เมล กิ๊ฟท์ ฟอร์ เดอะ เวิลด์ Male GIFE for the world หรือ เอ็ม จี ดับบลิว ที่สนับสนุนโดยรัฐบาลกลางประชาคมโลก จึงได้ริเริ่มให้นักวิทยาศาสตร์ชั้นนำในระดับประชาคมโลกได้สร้างโฮมุนครุสเพศเป็นมนุษย์เทียมเพศชายจากขบวนการชีวเคมีล้วน ๆ แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นหมันให้กำเนิดทารกไม่ได้ ซ้ำโฮมุนครุสส่วนใหญ่จะมีลักษณ์ภายนอกเหมือนชายแต่เป็นเพศหญิง ดร. เอ เอส บี กล่าวพร้อมกับมองมาที่ เอเยนต์ เจมส์ จากนั้นก็กล่าวต่อไปว่า
แต่ภายใต้โครงการลับ เอ็ม จี ดับบลิว ศัตรูปาล์ ที่ได้รับทุนสนับสนุนจาก วาย เอ บี ของเราเป็นรายแรกของโลกที่ประสบความสำเร็จในการสร้างสัตว์ทดลองเพศชาย โดยสกัดโครโมโซม “วาย” จากสัตว์จำพวกเอป พวกตระกูลลิงไม่มีหาง และพัฒนาเรื่อยมาจนสัตว์ทดลองเพศชาย ซึ่งมีความใกล้เคียงกับมนุษย์มากที่สุด จนเราจะสามารถกำหนดโครงสร้างทางพันธุกรรมในสัตว์ทดลองหลายตัวให้เพศชายเป็นยีนส์ด้อย มันจึงมีหน้าที่เป็นเพียงตัวช่วยในการให้กำเนิดทารกเพศหญิงเท่านั้น
จึงคาดว่าจะวางจำหน่ายให้เป็นสัตว์เลี้ยงและของเล่นสำหรับสตรีที่โสดวัย ๔๐ ปีขึ้นไปที่มีฐานะ ซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ของโลกในปัจจุบัน ซึ่งหญิงพวกนี้ส่วนใหญ่มีอันตรายในการตั้งครรภ์ ดังนั้นเราก็จะจำหน่ายถังยังชีพเพื่ออนุบาลทารกแบบออโตเมติกให้ด้วย
ดร. เอ เอส บี พูดพร้อมกับขยับแวนตาที่อยู่บนรูปหน้าอวบอ้วนวัน ๔๐ ของเธอ แบบหนึ่งเผยให้เห็นดวงตาอันเจิดจรัส บนสีหน้าเมื่อคิดถึงผลกำไลของตนเองที่ได้จากค่าลิขสิทธิ์
เอเย่นต์ เจมส์ : เข้าเรื่องดีกว่า ด็อกเตอร์ แล้วปัญหามันอยู่ที่ตรงไหน ? เสียงเตือนของ เอเย่นต์ เจมส์ ทำให้ ดร. เอ เอส บี หยุดจากฝันหวานมาพร้อมกับเสียงสูง ๆ ที่หงุดหงิด
ดร. เอ เอส บี : ช่วงสองสามปีนี้พวกกลุ่มต่อต้านโจมตีศูนย์ทดลองของพวกเราหลายแห่งในอาเซียน มีสัตว์ทดลองของเราหลุดออกไปหลายตัว บางตัวเราก็จับกลับมาได้ แต่บางตัวก็จับกลับมาไม่ได้ แต่ตอนนี้ตัวหนึ่งที่สำคัญคือ เอ็ม จี ดับบลิวศัตรูปาล์ ๕๑๒ หลุดออกไป สัตว์ทดลองตัวนี้มีลักษณะเป็นมนุษย์เพศชายเป็นพวกสติปัญญาต่ำ เหมือนมนุษย์ในยุคหินและมีพฤติกรรมที่เป็นอันตรายอย่างยิ่ง โดยที่สำคัญที่สุด มันมียีนส์ที่ไม่เสถียร ที่ยังไม่ได้ปรับค่าคงที่ทางไบโอเทคโนโลยี ให้สามารถให้กำเนิดทารกเพศหญิงเท่านั้น คิดดูสิจะมีการแตกตื่นมากแค่ไหน หากว่ามีการให้กำเนิดทารกเพศชายที่ไม่เคยมีมาก่อนในรอบพันปีในสังคมปัจจุบันที่ บุรุษเพศเป็นเพียงเทพยดาในฝันที่ห่างไกลจากความเป็นจริงเท่านั้น และที่สำคัญมันจะทำให้แผนการตลาดขององค์กร วาย เอ บี ของพวกเราล้มไม่เป็นท่า
เอเย่นต์ เจมส์ : คำสั่ง และขอบเขต
ประธานสตรี เอ เอส: ประกาศให้รู้กันเป็นการภายในว่า เอ็ม จี ดับบลิว ศัตรูปาล์ ๕๑๒ คือตัวแพร่เชื้อโรคพันธุกรรม เอ็มที่ร้ายแรง เก็บกวาดทุกอย่างให้สะอาดหมดจดก่อนที่จะถึงมือนักข่าว และเราไม่ต้องการผู้รู้เห็นเรื่องนี้ แม้คนเดียว
เอเย่นต์ เจมส์ : รับทราบ
เอเย่นต์ เจมส์ ตะเบ๊ะทำความเคารพอย่างขึงขังตามทำเนียมและก็เดินจากไปอย่างวีรสตรีกรีกที่ห้าวหาญ
ดร. เอ เอส บี : มันจะเหมือนกับเรื่องที่ เอ็ม จี ดับบลิวศัตรูปาล์ ๑๐๒ เคยถูกพวกต่อต้านชิงตัวไปหรือเปล่า?
ดร. เอ เอส บี พูดขึ้นหลังจาก เอเย่นต์ เอเย่นต์ เจมส์เดินจากไป ทำให้ประธานสตรี เอ เอส หันมามอง ดร. เอ เอส บี อย่างเคือง ๆ ด้วยดวงตาเล็กรียาวของอย่างสาวสายเลือดจีนของเธอ
หลังจากที่สืบข่าวยาวนานเป็นเดือน ต่อมาก็เกิดคดีแปลงเกี่ยวลัทธิประหลาดที่บูชา สัตว์ประหลาด เหมือนลิงแต่มีหางข้างหน้า ในชุมชนระหว่างลพบุนคัร ไปจนถึง รัมย์โคราช์ โดยที่สาวกส่วนใหญ่น่าจะเป็นพวกอยู่ในกลุ่มต่อต้าน องค์กร วาย เอ บี แทบทั้งสิ้น โดยสายแจ้งว่า คืนนี้ที่ โรงงานน้ำแข็งเก่าแห่งหนึ่งใน รัมย์โคราช์จะมีการจัดพิธีกรรมนอกรีตขึ้น เอเย่นต์ เจมส์ ก็แฝงตัวเข้าไปในฐานะของสาวกคนหนึ่ง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นสาววัยดึก ที่มารวมตัวกันให้โรงงานเก่าที่ติดไปด้วยรูปดาราชายสมัยโบราณที่กำลังทำท่าดื่มน้ำอัดลมยี่ห้อโบราณ และตุ๊กตาหมี เต็มไปหมด ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ทางเพศที่น่ารังเกียจและยังถือเป็นของผิดกฎหมายของสังคมโลกสากลในสมัยนี้อีกด้วย ถ้า เอเย่นต์ ทีน่า มาด้วยเธอคงจะอ้วกเมื่อเห็นสิ่งพวกนี้ด้วยความรังเกียจเป็นแน่ดังนั้นเธอจึงมาคนเดียว
ไม่นานพิธีกรรมก็เริ่มขึ้น มีการเปิดเพลงเต้นรำเก่าโบราณมาก ประเภทเพลงสไตล์เกาหลีที่หมดความนิยมไปเป็นพัน ๆ ปีแล้ว แต่ไอ้พวกสาวกลัทธิอุบาทว์ล้าสมัยพวกนี้กลับการเต้นรำอย่างบ้าคลั่ง จนพักหนึ่งไฟก็ดับลงแสงสปอร์ตไลท์ก็ส่องไปที่จุดหนึ่งบนลังไม้ที่นำมาเรียงไว้เป็นเวทีจากนั้น เงาของสิ่งมีชีวิตหนึ่งก็เคยปรากฏขึ้น มันออกมาจากความมืดพร้อมกับเสียงกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง สัตว์ทดลอง เอ็ม จี ดับบลิวศัตรูปาล์ ๕๑๒ นั้นเองที่ถูกถีบออกมายืนโป๊กลางเวทีด้วยสีหน้ามึนงง ทำให้หางที่ยืดยาวด้านหน้าของเขาชี้ตั้งด้วยความตกใจ เมื่อเห็นมนุษย์ป้าทั้งหลาย
เอเย่นต์ เจมส์ : หยุดนี่คือเจ้าหน้าที่ เอ เอส ของ วาย เอ บี
เอเย่นต์ เจมส์ กล่าวขึ้นจากนั้นความบ้าคลั่งก็กลายเป็นความชุลมุนวุ่นวาย ไม่ต่างไปจากวงไพ่แตก ทุกคนต่างวิ่งหนีกันไปคนละทิศคนละทาง จากนั้นก็มีเสียงปืนรุ่นพระเจ้าเหาดังมาทาง เอเย่นต์ เจมส์ แต่ด้วยเสื้อเกาะนาโนเทคที่สวมใส่ภายใต้เสื้อคลุมสีดำของพวกนอกรีต เธอจึงไม่ระคายผิวแม้แต่น้อย ดังนั้นเธอจึงก็เริ่มยิงปืนเลเซอร์ตอบโต้ ด้วยความทันสมัยของอาวุธ สุดท้ายเธอก็ได้เก็บพวกต่อต้านไปสิบราย จากนั้นก็โทรศัพท์ถึง เอเย่นต์ ทีน่า
เอเย่นต์ ทีน่า : แล้วสัตว์ทดลองละ?
เอเย่นต์ เจมส์ : มันหนีไปได้, ทีน่า ! แต่ฉันพบข้อมูลบางอย่าง จากรายการบันทึกและนามบัตรที่ตรวจพบในที่เกิดเหตุ ได้เชื่อว่ามีการนำสัตว์ทดลองไปเวียนกันในบ้านต่าง ๆ เชื่อว่าเราจะต้องทำงานการป้องกันการแพร่เชื้อครั้งใหญ่
หลังกว่าสัปดาห์ที่ เอเย่นต์ เจมส์ กับเอเย่นต์ ทีน่าก็ออกปฏิบัติการปิดบัญชีลัทธิชั่วได้สำเร็จ ทำให้เอเย่นต์ เจมส์ได้สานสัมพันธที่เคยเกือบแตกร้าวกับเอเย่นต์ ที่สุดท้ายก็คือบ้านปลายสวนของยาย อาร์ เค แพร นั้น ภายหลังเอเย่นต์ทั้งสองก็ฉลองชัยและการกลับมาคืนดีอีกครั้งกันหนำใจแล้ว เอเย่นต์ เจมส์ก็ตกลงว่าจะไปหา ดร. เอ เอส บี เพื่อให้โอกาส เอเย่นต์ ทีนาได้เป็นแม่คน แล้วทั้งสองก็แยกจากกัน
หลังจากที่เอเย่นต์ เจมส์กลับมาคอนโดของตนแล้ว ก็เพลิดเพลินกับเครื่องใช้ในบ้านด้วยการออกคำสั่งทุกอย่างด้วยการใช้เพียงสายตาเพ่งมอง ในขณะที่โทรทัศน์ระบบภาพสามมิติ แบบไตรเมตริกโดยฉายออกมาเป็นภาพโฮโลแกรม ของรายการโฆษณาหนึ่งที่กล่าวถึง ระบบนวัตกรรมใหม่ที่สามารถฝังชีปลงไปในสมองคนและให้คนสามารถสั่งการทุกอย่างได้เพียงแค่การนึก แต่พวกกลุ่มต่อต้านกลับพยายามส่งคลื่นแทรกมาก กล่าวหาว่านวัตกรรมดังกล่าวจะทำให้มนุษย์มีอายุสั้นลงหลังจากฝังชีปแล้วจะมีอายุอยู่ได้อีกห้าสิบปีเท่านั้น เนื่องจากความไปปลอดภัยในสนิทที่เกิดขึ้นเมื่อตัวเคลือบหลุดออก ...น่าตลกเสียจริง ๆ สำหรับมลภาวะของโลกในเวลานี้ใครจะจากมีชีวิตยืนนานไปกว่านั้น
ด้วยเหตุนี้เองการที่เอเย่นต์ เจมส์ นึกถึงเหตุการณ์เมื่อสัปดาห์ก่อนที่เธอยืนอยู่เบื้องหน้าของสัตว์ทดลอง เอ็ม จี ดับบลิวศัตรูปาล์ ๕๑๒ ที่มีท่าสั่นงันงกหวาดกลัวเหมือนลูกหมาตกน้ำ เอเย่นต์ เจมส์ จ้องหน้ามัน และคิดว่านี่หรือหนุ่มวัยฉกรรจ์ ผู้ชายแท้ ๆ ที่ครั้งหนึ่งเคยมีบนโลกใบนี้ ก่อนที่มันจะยิ้มเจื่อน ๆ ทอดสายตาหวังความเมตตาปรานีมาที่หล่อน ด้วยความเป็นมืออาชีพหล่อนไม่รอช้า จอปืนยิงใส่กระบาลมันทันที มันไม่แม้แต่สั่นชักดิ้นชักงอใดๆ เลย มันตายในทันที แล้วเธอก็เก็บซากของมันขึ้นรถไป ด้วยอุปกรณ์แม่เหล็กชีวภาพจากนาฬิกาข้อมือของเธอ
เสียงนาฬิการ้องบอกเวลามาของรายการโทรทัศน์เรื่องโปรดของเธอพาเธอกลับมาสู่ ณ เวลาปัจจุบัน ภายในห้องพักของเอเย่นต์เจมส์ หลังจากนั้นเธอก็เปิดตู้เย็นขนาดใหญ่ของเธอด้วยการเพ่งสายตา และให้หุ่นยนต์รับใช้ในบ้านนำถ้วยรางวัลของเธอ ซึ่งเป็นขวดโหลใสที่บรรจุอะไรบางอย่างเป็นแทงยาวคล้ายหางของลิงที่งอกออกมาทางด้านหน้าของสัตว์ทดลองของ เอ็ม จี ดับบลิวศัตรูปาล์ ๕๑๒ ซึ่งคนในสมัยโบราณเรียกว่า “เจ้าโลก” ใส่ลงไป ให้อยู่คู่กับขวดเก่าที่เขียนป้ายติดว่า เอ็ม จี ดับบลิวศัตรูปาล์ ๑๐๒ ก่อนที่จะเอาร่างส่วนที่เหลือของสัตว์ทดลอง เอ็ม จี ดับบลิวศัตรูปาล์ ๕๑๒ ไปสกัดเป็นเครื่องดื่มสูตรพิเศษสำหรับเธอ
ไม่เป็นที่เปิดเผยว่าที่จริงเธอเองก็คือ โฮเมนครุสมนุษย์เทียมที่สร้างขึ้นก่อนสัตว์ทดลองนั้น ซึ่งที่จริงก็คือสิ่งมีชีวิตทดลองที่ถูกสร้างและส่งไปทั่วโลกเพื่อการดำรงเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ตามแผนการของประชาคมโลก ซึ่งเป็นเพียงฉากบังหน้า แท้จริงก็เพื่อสร้างจารชนสายลับที่รับคำสั่งโดยตรงจากรัฐบาลกลางของประชาคมโลกเพื่อการควบคุมดูแล และสร้างความวุ่นวายให้กับเขตการปกครองต่าง ๆ ในทุกมุมโลก เธอจึงไม่มีความจำเป็นต้องมีความสามารถในการสืบพันธุ์เช่นเพศชาย แต่ต้องมีความสามารถในการแปลงโฉมได้ด้วยพรสวรรค์เหนือมนุษย์แต่การที่เธอจะดำรงความเป็นมนุษย์อยู่ได้นานต่อไปได้เธอนั้นจะต้องกินสัตว์ทดลองอย่าง เอ็ม จี ดับบลิว ศัตรูปาล์ ๕๑๒ เป็นอาหาร
เธอจึงเป็นคนลักลอบปล่อยมันออกมาเอง มันเป็นเกมส์ล่าของนักล่าที่แสนสนุกสำหรับเธอผู้เป็นสายลับสองหน้าของประชาคมโลกกับองค์กร วาย เอ บี แอน เอ เอส ซึ่งการที่เธอจะอยู่ข้างใดนั้นอยู่ที่ว่าใครจะให้ประโยชน์กับเธอ หรือจ้างเธอได้มากกว่ากัน แต่สุดท้ายเธอนั้นแหละคือนายของตัวเธอเอง เพราะโฮเมนครุสมีสติปัญญาเหนือพวกมนุษย์เรียกว่าอัจฉริยะเหนืออัจฉริยะก็ว่าได้
ด้วยอารมณ์ที่รู้สึกผ่อนคลายเธอจึงไปหยิบแก้วดื่มไวน์มาเติมสารพลาสมาที่สกัดมาจากยีนส์ของสัตว์ทดลอง เอ็ม จี ดับบลิวศัตรูปาล์ ๕๑๒ ซึ่งน่าจะเก็บไว้ใช้ได้เป็นเดือน ๆ เธอดื่มฉลองชัยพร้อมกับเพ่งสายตาเพื่อเปิดดูสารคดีเรื่องโปรดเรื่องของเคาท์เตส อลิซาเบธ บาโธรี่ ผู้จับสาวทั้งหลายมาฆ่าเพื่อดื่มเลือดให้นางคงสาวและงดงามตลอดไป ถ้ามีใครมองดูเธอในตอนนี้หลังจากที่ดื่มเครื่องดื่มสูตรพิเศษของเธอ จะเห็นความคมสันของใบหน้าเธอที่เพิ่มขึ้นด้วยอย่างน่าอัศจรรย์ใจ ไม่นานนัก เธอก็จะนำซากที่เหลือไปเผาและก็ไปทิ้งในที่หนึ่งซึ่งไม่นานเธอก็จะเป็นคนไปพบมันด้วยตนเองและรายงานต่อองค์กร และดร. อา เอส บี หลังจากนั้นเธอค่อยคิดว่าจะฆ่าใครก่อนดีในรูปของอุบัติเหตุ ระหว่าง ดร. อา เอส บี กับ อา เอส ทีน่า แฟนของเธอเพื่อปกปิดความจริงที่ว่าเธอนั้นคือ “มนุษย์เทียม โฮเมนครุส” เผ่าพันธุ์ที่ค่อย ๆ เข้ามาแทนที่ประชากรของมนุษย์ที่มัวแต่แตกแยกขัดแย้งต่อสู้กันเองตลอดทุกยุคทุกสมัย ในไม่ช้าโลกทั้งใบนี้จะกลายเป็นโลกของโฮเมนครุสที่มีสัตว์ทดลองเป็นอาหาร หรือน่าจะประมาณ คศ. ๔๐๐๐ ตามที่องค์กรลับของพวกโฮเมนครุสระดับโลกตั้งเป้าหมายไว้
ภาพที่ ๓ ภาพโฮเมนครุส ในการ์ตูนญี่ปุ่น (ไม่เกี่ยวกับเรื่อง)
ที่มา https://gordonator.files.wordpress.com/2010/01/fma40.jpg?w=640
...................................


เรื่องที่ ๔ ผู้ตรวจปรู๊ฟ ไกร
คุณเคยคิดบางหรือไม่ว่า โลกที่คุณอยู่ไม่ใช่โลกแห่งความเป็นจริง สักวันหากว่าคุณนั่งรถไฟไปสุดที่ปลายรุ้งแล้ว คุณจะเจอสิ่งใด ๆ ที่นั้น ทำไมนะเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องสำหรับใครหลายคนจึงกลายเป็นเรื่องที่สำคัญถึงชีวิตสำหรับใครบางคนได้? ผมชื่อไกร เคยเป็นเด็กจืด ๆ ซื่อ ๆ คนหนึ่งชีวิตผมก็แสนจะธรรมดาเรียบง่าย จนวันหนึ่งผมได้พบ บางอย่างที่เปลี่ยนชีวิตผมไปตลอดกาล และสุดท้ายมันก็อาจจะจบไปพร้อมกับชีวิตของผมด้วย
ผู้ตรวจไกรคิดในขณะที่ร่างของตนนั้น ถูกปีศาจร้ายกลืนกิน เห็นได้ชัดว่าส่วนเนื้อขาวหน้าท้องถูกกระชากฉีกขาดจนจนถึงซีกโครงด้านในส่วนลำไส้ใหญ่น้อยและเลือดไหลทะลักออกมาท่วมพื้นห้องมืดมิด ส่วนความเจ็บปวดนั้นไม่ต้องนึกพรรณนา เพราะตอนนี้มันเกินว่าที่ประสาทสัมผัสเขาจะรับได้แล้ว ตัวตาเขาเริ่มพร่ามัว และเขาก็ค่อยอ่อนแรงลง และก่อนที่เขาจะหลับไปตลอดกาล ความทรงจำเก่า ๆ ในอดีตที่เป็นที่มาของเรื่องราวเหล่านี้ก็ผุดขึ้นมาสับสนปนเปไปหมด
เมื่อหลายปีก่อน……….
แม่นิด: ไกรรับอาบน้ำก่อนนะและค่อยลงมากินข้าวเย็น
ไกร: พี่โจ้อาบน้ำเสร็จแล้วหรือครับ
แม่นิด: เดี๋ยวเขาเสร็จลูกก็รีบอาบต่อเลยสิจ๊ะ! ห้ามลงมากินข้าวถ้าไม่อาบน้ำลูก
เด็กชายไกรใช้เวลาอาบน้ำแค่สามนาที หรือเรียกว่าเดินผ่านน้ำมากกว่าแล้วก็นั่งลงกินข้าวกับพี่โจ้แฝดผู้พี่ ที่ชอบทำหน้าชอบทำหน้าหยีว่าเขาตัวเหม็น ก็เขามีเวลาน้อยนี่ ในเมื่อก็เป็นน้องได้ทุกอย่างช้ากว่าพี่ จะทำอะไรก็ต้องให้พี่ทำก่อน เขาก็ต้องรีบทำให้ไวกว่าสิ เพราะอิ่มก่อนดูโขนดูหนังอิ่มที่หลังล้างถ้วยล้างชาม อะไรจะต้องเก็บกวาดเช็ดถูให้คนอื่นละ ถ้าเขาอิ่มก่อนเขาก็จะเอาชามของตนเองไปล้างและไปดูทีวี และถ้าเขากินเสร็จที่หลังด้วยความเป็นน้องเล็ก พี่โจ้ก็จะอ้างเรื่องน้ำใจ ภาระการบ้านเยอะ ทั้งที่ความจริงก็เท่ากันเรียนอยู่ชั้นเดียวกันนี่ แล้วก็จะทิ้งชามข้าวให้เขาล้างอีกเช่นเคย แม่กับพ่อชอบหาว่าเขาชอบแข่งกับพี่โจ้ แต่ความจริงเขาไม่คิดแข่งกับพี่เขาหรอก แพ้มาตั้งแต่เกิดเป็นน้องคนเล็กแล้วทั้งที่เกิดช้ากว่าแค่ ๕ นาที เพียงแต่เขาไม่อยากเป็นคนเก็บกวาดทุกอย่างที่เป็นเหมือนมรดกห่วย ๆ ที่พี่แกทิ้งไว้ให้น่ะ! ชีวิตของเด็กชายไกรก็ซ้ำซากอยู่ทุกวันกระทั่งวันหนึ่ง เขาพบมิสเตอร์ ดี ในเว็บไซต์จากคอมพิวเตอร์มือสองที่ได้มาหลังจากที่พี่โจ้เบื่อแล้ว ซึ่งระบบปฏิบัติการต่าง ๆ ช้ามาก แต่กับเปิดสู่หน้าเว็บไซต์ดังกล่าวได้รวดเร็ว เว็บไซต์ของมิสเตอร์ ดี เป็นเว็บไซต์การ์ตูนที่แปลกหวือหวาไม่เหมือนใคร และมีการเกมแข่งขันที่จะต้องใช้ความรู้เกี่ยวกับการ์ตูนต่าง ๆ ทั้งฝรั่ง ญี่ปุ่น จีน อินเดียและเกาหลี ซึ่งเขาก็เอาชนะได้ด้วยความภาคภูมิ โดยทางเว็บไซต์ประกาศว่าเขาจะได้ของรางวัลพิเศษบางอย่าง ที่เรียกว่า กุญแจมิติ ซึ่งเขาเข้าใจว่ามันคงจะเป็นเพียงไอเทมที่ใช้กับเกมส์ใหม่ ๆ ของเว็บไซต์นี้ จนผ่านไปสัปดาห์หนึ่ง
เสียงออดหน้าประตูบ้านดังขึ้น ทำให้นายปานใช้ให้ลูกชายเด็กชายโจ้ไปเปิดประตู แต่เด็กชายโจ้ปฎิเสธอ้างว่ากำลังอ่านหนังสือสอบ หน้าที่นี้จึงได้กลายเป็นของเด็กชายไกร
เด็กชายไกร: ขอโทษครับที่มาช้ากำลังช่วยแม่หุงข้าวเที่ยงครับ
นายไปรษณีย์ : อ้อ! ไม่เป็นไร อ้าวนี่พัสดุถึงเธอนะ !
เด็กชายไกรแปลกใจ แต่พออ่านดูก็รู้ว่าเป็นของที่ส่งมาจาก มิสเตอร์ ดี แน่ ๆ สงสัยอยู่ว่าเป็นอะไร แต่ถ้าให้พ่อรู้ว่าเขาแอบเล่นเกมส์ออนไลน์ เขาคงสวดยับไปตลอดทั้งปีจนถึงตรุษจีนปีหน้าแน่ ดังนั้นเขาก็เลยแอบเอามันไปเปิดบนห้องแต่แล้วก็แปลกใจที่เป็นกุญแจทองเหลืองมีหัวจับทำเป็นรูปหัวใจมีลวดลายสวยงาม ดูสวยดี แต่เหมือนเป็นของเด็กผู้หญิงเสียมากกว่า เขาไม่สนใจก็เลยวางมันไว้บนโต๊ะคอม แล้วก็ไปช่วยแม่ทำอาหารเที่ยง ซึ่งแม่นิดให้เขาช่วยหุ่งข้าวให้เท่านั้นเพราะเขาเคยเอาข้าวผัดไปใส่ก๊วยเตี๋ยวผสมกับวุ่นเส้น ให้คนที่บ้านกิน ซึ่งสุดท้ายเขาก็ต้องรับผิดชอบกินมันคนเดียว ตามคำสั่งของพ่อปาน ที่โทรสั่งพิซซ่ามาให้คนอื่น ๆ กินกันแทน ดังนั้นเขาจึงไม่ได้รับอนุญาตให้ทำอาหารอีกเลย นอกจากหุงข้าวเท่านั้น หลังจากกินอาหารกลางวันเสร็จ ก็กลับมาที่โต๊ะคอมพิวเตอร์ในห้องส่วนตัวของเขา
วันนี้เป็นวันเสาร์ โดยปกติเขาก็จะเล่นเกมส์อีกเช่นเคย วันนี้เขายืมแผ่นเกมใหม่มาจากไอ้โต้งมา กะว่าจะเปิดเล่นคนเดียวไม่ให้พี่โจ้รู้ เพราะกลัวพี่แกจะยืมไปไม่คืนอีก แล้วก็จะเอาไปคืนไอ้โต้งไม่ได้ แล้วไอ้โต้งมันจะไม่ให้ยืมเกมส์อื่น ๆ อีก แต่ว่าเขาหากุญแจเปิดเก๊ะไม่ได้ ทำให้เขาหงุดหงิดมาก จึงได้ใช้กุญแจทุกดอกที่มีทั้งหมดใช่ไม่ใช่ ก็พยายามไขเท่าใดก็ไม่ออก สุดท้ายก็ลองเอากุญแจดอกใหม่ที่ได้มาไขดู แล้วเขาก็ต้องพบกับความอัศจรรย์ใจ กับแสงสว่างที่เกิดขึ้นในลิ้นชักโต๊ะ ซึ่งดูดให้ตัวเขาหลุดไปอีกมิติหนึ่ง ทันที่ที่เขาตื่นขึ้นมาเขาก็พบว่าตนนั้นมาอยู่ในห้องสีขาวที่ว่างเปล่าที่กว้างมากอะไรซักแห่ง จากนั้นก็เห็นสาวญี่ปุ่นคนหนึ่งมองเขาด้วยความสงสัยทำให้เขางงมาก
เคโกะ: ขอต้อนรับผู้ตรวจปรู๊ฟไกร สู่สหภพจักรวาลหนังสือ
ต่อมาจากคำชี้แจงของ หัวหน้าบรรณาธิการเคโกะ ไกรถึงได้รู้ว่ากุญแจดังกล่าวเป็นประตูผ่านมิติเข้าไปสู่สหภพจักรวาลหนังสือ และเขาได้พบกับความผิดปกติต่าง ๆ ในโลกแห่งการ์ตูนที่แท้จริง กับการ์ตูนในโลกแห่งความจริงที่คนเรารับรู้ไม่ตรงกัน ทำให้มิสเตอร์ ดี มอบหมายให้เขาซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการ์ตูนต่าง ๆ จัดระเบียบในโลกของการ์ตูน ในฐานะผู้ตรวจปรู๊ฟ หรือผู้พิทักษ์แห่งโลกการ์ตูน โดยชาวโลกในสหภพจักรวาลหนังสือ รู้จักเขาในนามผู้ตรวจปรู๊ฟไกร หรือเรียกสั้น ๆ ว่า ผู้ตรวจไกร หรือผู้พิทักษ์ไกรก็ว่า ทุก ๆ วันเขาจะได้ภารกิจระดับ เอ ในการจัดการเกี่ยวกับการผิดพลาดของเรื่องราวในการ์ตูนต่าง ๆ เช่นการ์ตูนฝรั่งที่จะมีที่มาจากเทพนิยายต่าง ๆ ที่มีเรื่องราวผิดแปลกไปจากเดิมมาก การ์ตูนญี่ปุ่นที่มีปัญหาเรื่องการเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร ฯลฯ ที่จะต้องออกไปพูดคุยและปรับความเข้าใจกับตัวละครเหล่านั้นเพื่อให้ตรงกับเรื่องราวจริงในโลกมนุษย์ เขาใช้ชีวิตอยู่ในโลกแห่งหนังสือโดยไป ๆ มา ๆ ระหว่างโลกมนุษย์โดยอาศัยกุญแจมิติอยู่นานหลายสิบปี จนในที่สุดก็ได้กลายเป็นหัวหน้าทีมออกไปลุยภาคสนาม มีอำนาจการตัดสินใจในภารกิจต่าง ๆ รองจากบรรณาธิการเคโกะ และมีสเตอร์ ดี ผู้อำนวยการหรือประธานที่อยู่ในรูปแบบโปรแกรมคอมพิวเตอร์อัจฉริยะในโลกสหภพจักรวาลหนังสือ
และในการประชุมรายงานปัญหาของทีมงานดูแลโลกการ์ตูนที่เป็นหนึ่งใน ร้อยส่วนของหน่วยงานย่อยในโลกแห่งหนังสือ
แมก อีเทอร์ จากอังกฤษ : ได้ข่าวว่า เกิดปัญหาในการ์ตูนฝรั่ง สโนว์ไวท์ กลายเป็นภรรยาของคนแคะทั้งเจ็ดก่อนที่เจ้าชายมาเจอ ทำให้เจ้าชายไม่สนใจนางละคิดจะแต่งงานกับแม่มดใจร้าย
ผู้ตรวจไกร: เราควรทำความเข้าใจกับเจ้าชายและสโนว์ไวท์ ก่อนที่งานแต่งงานจะเริ่มขึ้น ควรให้เขาได้พบกับสโนว์ไวท์ก่อน
ดินกีซ่า จากตุรกี : แล้วจะทำอย่างไรกับลูก ๆ ของสโนว์ไวท์และคนแคระทั้งเจ็ด
ผู้ตรวจไกร : ให้ลบความจำของพวกเขาทั้งหมด และลูก ๆ ของสโนว์ไวท์กับคนแคระทั้งเจ็ด ให้นำไปไว้ที่โลกการ์ตูนของเบบี้เวิลด์ จากนั้นก็ให้แมก อีเทอร์ไปจัดการเป็นสื่อรักให้กับเจ้าชาย และสโนว์ไวท์ให้แต่งงานกันให้ได้ ถ้าจำเป็นก็กำจัดแม่เลี้ยงใจร้ายเสีย เพราะเธอเป็นพวกเยอะ เรื่องมาก และอย่างไรเธอก็ต้องตายตอนจบอยู่แล้ว
แมก อีเทอร์ จากอังกฤษ: รับทราบ หัวหน้า! ซารามาส่งเสียงรับแต่แสดงสีหน้ายียวนเหมือนเด็ก ๆ อายุสิบสาม
ผู้ตรวจไกร: จัดการให้เสร็จก่อน สัปดาห์หน้านะ! ถ้ามีปัญหาก็พาคนในทีมเราไปช่วยกี่คนก็ได้ เพราะภารกิจครั้งนี้มีผลกับการเลื่อนตำแหน่งพวกคุณจากผู้ช่วยผู้ตรวจระดับ เอฟ เป็นระดับ ดี ด้วย เอาละยูริมีอะไรเกิดขึ้นกับโซนการ์ตูนญี่ปุ่นจะรายงานไหม
ยูริ จากญี่ปุ่น : เรามีปัญหากับโนบิโอะ ที่หัวใจสลายไม่ยอมไปโรงเรียนเนื่องจากฟูซูกะ ไปรักกับทาเคจิ ฉันหมายถึงไม่ไปโรงเรียนเลยจริง ๆ และที่ร้ายที่สุดคือเทพยมทูต ไคโอ รักกับ อัศวินสาวเนตรอสูรตาเพลิง
ผู้ตรวจไกร: เรื่องเดิม ๆ ให้ดินกีซ่าไปช่วยเธอจัดการ เธอเป็นผู้เชียวชาญในเรื่องพวกนี้ กว่าเธอ และมีปัญหาอะไรอีกไหมสำหรับโซนการ์ตูนอินเดียและเกาหลี ซาร่ามา และซูทงอัน
ซาร่ามาจากอินเดีย และซูทงอันส่ายหน้า ขณะที่เขากำลังจะบอกปิดการประชุมและเริ่มภารกิจ บรรณาธิการเคโกะก็ผลักประตูเข้ามา พร้อมกับแจ้งภารกิจระดับเอส เนื่องจากการผันผวนของเรื่องราวในโลกของเทพนิยาย นวนิยาย และการ์ตูนส่งผลให้เกิดหลุ่มดำแห่งจินตนาการที่เป็นช่องว่างของห่วงมิติในสหภพจักรวาลหนังสือ ระเบิดขึ้นเป็นครั้งคราว เนื่องจากสหภพจักรวาลหนังสือแปรผันตรงกับความรับรู้เกี่ยวกับโลกแห่งหนังสือที่อยู่ในความรู้ของมนุษย์ทุกคน แต่ปัจจุบันมนุษย์ไม่สนใจความถูกต้องขององค์ความรู้และความจริงในโลกแห่งหนังสือเลย เด็กหลายคนก็เอาแต่ลอก ๆ การบ้านหรือรายงานส่งอาจารย์โดยไม่ได้อ่านและตรวจสอบข้อมูลที่เขียนหรือพิมพ์ นานไปเมื่อมีการเขียนผิดคนหนึ่งเมื่อลอกต่อกันไปเป็นร้อยคน ความผิดพลาดตามปกติหลายครั้งเข้าก็ทำให้มันกลายเป็นพลังหักล้างกับความถูกต้องของข้อมูลที่แท้จริง ทำให้เกิดสหภาพซ้อนกันสามชั้นขึ้นไปคือ ๑ โลกของความเป็นจริง ๒ โลกแห่งจินตนาการ ๓ โลกที่รับรู้ว่าเป็นจริงแต่ไม่ได้เป็นจริง ๔ โลกที่รับรู้ว่าเป็นจริงและเป็นจริง ๕ โลกที่รับรู้ว่าเป็นจริงแต่จะเป็นจริงก็ใช่ไม่เป็นจริงก็ไม่ใช่ ๖ โลกที่รับรู้ว่าไม่เป็นจริงแต่เป็นจริง ฯลฯ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ได้สร้างกระทบต่อโลกแห่งวิชาการในสหภพหนังสือเท่านั้น แต่ยังเชื่อมโยงไปสู่ทุกโซนด้วยแม้แต่ในโลกของนิทานและการ์ตูนก็ตาม การเขียนผิด ๆ อย่างต่อเนื่องทำให้ เจ้าชายฆ่าแม่มด กลายเป็นเจ้าชายข้าแม่มด จนกลายเป็นเจ้าชายเป็นขี้ข้าแม่มดในที่สุด และเมื่อหนังสือนี้ตีพิมพ์เผยแพร่ด้วยการตรวจปรู๊ฟในโลกมนุษย์ที่ไม่ได้เรื่องเป็นล้านครั้ง ก็จะเกิดการผันแปรเนื่องจากการบิดเบือนของความเท็จและจริงทำให้เกิดปรากฏการณ์หลุมดำแห่งห้วงจินตนาการดังกล่าว
เคโกะ: หลุมดำในโซนโลกการ์ตูนฮีโร่ ครั้งนี้เป็นภัยร้ายแรงระดับสูง ขอให้ทุกคนรีบไปปฏิบัติหน้าที่ทันที ปิดหลุมดำให้ได้ ตามคำสั่งของมิสเตอร์ ดี ให้ได้ก่อนที่มันจะทำความเสียหายให้กับสหภพจักรวาลหนังสือโดยส่วนรวมจนส่งผลถึงโลกแห่งวิชาการที่เป็นศูนย์กลางแห่งสหภพนี้ซึ่งเชื่อมโยงกับความจริงสากลที่เรียกว่า แกนแห่งความเป็นจริงสากล ถ้าแกนความจริงสากลดังกล่าวแตกดับโลกแห่งความเป็นจริงหรือโลกมนุษย์ก็จะแตกดับไปพร้อมกับสหภพจักรวาลหนังสือด้วย
ณ โซนโลกการ์ตูนฮีโร่ เกิดการต่อสู้และความวุ่นวายระหว่างฮีโร่ในการ์ตูนทั้งหลาย และเหล่าร้ายที่ถูกอำนาจพลังแห่งความเท็จและความมืดจากหลุ่มดำครอบงำ ดังนั้นทีมผู้ตรวจปรู๊ฟแห่งสหภพโลกแห่งหนังสือจึงแบ่งเป็นสองทีม คือทีมทั้งหมดส่วนใหญ่ไปช่วยฮีโร่คนอื่นต่อสู้กับเหล่าร้ายในโลกการ์ตูนที่ออกมาขัดขวางภารกิจการปิดหลุมดำนี้
ส่วนผู้ตรวจไกร กับฮีโร่อื่นที่เหาะได้และแมก อีเทอร์ ไปทำหน้าที่ผิดหลุมดำแห่งจินตนาการนั้น แม้ว่าผู้ตรวจปรู๊ฟจะไม่มีพลังพิเศษอะไรมากมายนัก แต่ผู้ตรวจปรู๊ฟ หรือผู้พิทักษ์ของสหภพแห่งโลกหนังสือสามารถเลือกและเรียกใช้ตัวละครทุกตัวได้ทั้งฝ่ายดีและร้าย เพียงแต่ไม่สามารถเรียกตัวละครได้ซ้ำกัน กับตัวละครกลายเป็นสัตว์ประหลาดหรือปีศาจเพราะอำนาจของหลุมดำแห่งจินตนาการ
ซุปเปอร์วัน : ในนามของผู้พิทักษ์ การปฏิบัติงานนี้อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายของทุกคน แต่จำไว้ไม่ว่าทุกคนจะอยู่ที่ไหนทั้งโลกนี้ โลกหน้าและโลกไหน ๆ จิตใจที่รักในคุณธรรมยังคงอยู่
เสียงเห่จากตัวละครทั้งหลายในโลกการ์ตูนฮีโร่
ผู้ตรวจไกร: ในนามของผู้พิทักษ์ การปฏิบัติงานนี้อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายของทุกคน แต่จำไว้ไม่ว่าทุกคนจะอยู่ที่ไหนทั้งโลกนี้ โลกหน้าและโลกไหน ๆ จิตใจที่รักความถูกต้องและการเป็นผู้ตรวจปรู๊ฟที่ยิ่งใหญ่ของเราจะไม่เปลี่ยนแปลง
เสียงตบมือเปาะแปะ จากทีมผู้ตรวจปรู๊ฟทั้งหลายของสหภพจักรวาลหนังสือ
จากนั้นทุกคนก็ไปลุยงาน ผู้ตรวจไกรให้ แมก อีเทอร์ ขึ้นหลังเทพสายฟ้าฮีโร่ของเขา ไปใช้ปากกามิติขีดจำกัดวงให้หลุมดำแห่งจินตนาการอยู่ในขอบเขตที่ควบคุมได้ ในขณะที่สีดำเหมือนน้ำหมึกทะลักตกลงมาจากฟ้าทำให้ มนุษย์และสิ่งของทั้งหลายในโลกการ์ตูนฮีโร่ละลายหายไปกลายเป็นคราบสีดำ ทำให้เทพสายฟ้าต้องบินหลบฉวัดเฉวียนไปมา และใช้คทาเหล็กกล้าของเขาทุบทำลายเศษตึกที่กระเด็นมาตลอดจากแรงทำลายล้างของหลุ่มดำและการต่อสู้ของพวกฮีโร่กับเหล่าร้ายทั้งหลายอีกด้วย ในขณะที่แมก อีเทอร์ใช้ปากกามิติสร้างแหขึ้นมากันและปกป้องพ้นที่เบื้องล่างที่วุ่นวายจากการต่อสู่กับสัตว์ประหลาดตัวใหม่ที่เกิดจากสารสีดำที่รั่วไหลออกมาจากหลุมดำแห่งจินตนาการ แม้ที่ฮีโร่หรือตัวร้ายเองเมื่อถูกสารดังกล่าวก็ทำให้คลุ้มคลั่งเปลี่ยนเป็นสัตว์ประหลาดร้ายเช่นกัน ทำให้พวกตัวร้ายและฮีโร่หันมาจับมือสู่กันอีกครั้งได้ด้วยการนำของเหล่าผู้ตรวจปรู๊ฟทั้งหลายแห่งสหภพจักรวาลหนังสือ
ส่วนการปิดฉากงานนี้ทั้งหมดอยู่ที่ผู้ตรวจไกรที่ขี่หลังซุปเปอร์วัน บินตรงขึ้นไปจัดการทิ้งถังจินตนาการบริสุทธิ์ที่จะให้สีขาวและทำให้หลุมดำปิดลงในทันที่ ซึ่งต้องทิ้งลงที่ใจกลางของหลุมดำเท่านั้น ผู้ตรวจไกรสามารถทำได้สำเร็จ แต่ตอนหลุมดำแห่งจินตนาการระเบิดทำให้ ผู้ตรวจไกรหายไปมิติอื่น รอดออกมาจากหลุมดำได้แต่ซุปเปอร์วันเท่านั้น สร้างความโศกเศร้าอาลัยต่อคณะผู้พิทักษ์แห่งสหภพจักรวาลหนังสือ ทั้งตัวละครฝ่ายร้ายและดี และองค์กรผู้ตรวจปรู๊ฟแห่งสหภพจักรวาลหนังสือ
ในอีกมิติหนึ่ง ซึ่งผู้ตรวจไกรไม่เคยเข้ามาก่อน เขาพบว่ามันเป็นโถงใหญ่ที่กว้างพอกับสนามฟุตบอล แต่เป็นทางยาวทอดไปเป็นเหมือนถนนยาวไม่มีสิ้นสุด สุดสายตา ในขณะที่สองฝากเต็มไปด้วยประตูสีดำที่ตัดกับพื้นและกำแพงสีขาว กับของทั้งหมดในโลกนี้ล้วนเป็นสีขาวทั้งถนนและกำแพง มีแต่ประตูเป็นสีดำเท่านั้น โดยเขาไม่อยากเสี่ยงเปิดประตูพวกนั้น ต้องการหาประตูสีขาวที่เคยใช้เปิดกลับมายังโลกมนุษย์ เขาจึงเดินตรงไปนานเป็นชั่วโมง ๆ และเป็นวัน ๆ จนเหนื่อยและแต่ก็เห็นแต่ทางเดินที่สุดสายตาเท่านั้นไม่พบสิ่งใด จึงได้หยิบกุญแจมิติที่พวกผู้ตรวจปรู๊ฟทั้งหลายใช้ผ่านไปยังโลกต่าง ๆ ในสหภพจักรวาลหนังสือเปิดประตูบานหนึ่งออกดู ข้างในเป็นความดำมืด และแล้วเขาก็ถูกสัตว์หรือปีศาจตัวหนึ่งที่อยู่ในนั้นดึงเขาไปทำให้กุญแจมิติของเขาตกหายไป
เขาพยายามใช้ปากกาและยางลบมิติต่อสู้กับปีศาจร้ายนั้นเป็นเวลานานสุดท้าย เขาก็เป็นฝ่ายพบความพ่ายแพ้ที่เขาไม่เคยรู้จัก เพราะพวกผู้ตรวจปรู๊ฟมีอำนาจควบคุมตัวละครทั้งฝ่ายดีและร้ายทุกตัว ยกเป็นสิ่งมีชีวิตที่มาจากหลุ่มดำในจินตนาการ ไม่นานเขาก็ถูกมันจัดการหรือจับกินในทัน
ณ โลกแห่งความเป็นจริง ขณะที่เด็กชายไกร ถูกเพื่อนลากไปไถเงินข้างอาคารเรียนที่ติดกับห้องปฏิบัติการศิลปะที่ไม่ห่างไกลผู้คนนักแต่ก็เป็นซอกเล็กหลืบบังสายตาคนได้เป็นอย่างดี
ไกร: พวกแกต้องการอะไร
ตั้ม: ค่าขนมเดือนนี้ แกยังไม่แสดงน้ำใจแบ่งให้ชั้น ๆ กับเพื่อนใช้เลย
ไกร: ข้าต้องจ่ายค่ายืมเกมส์ให้ไอ้โต้งด้วย ส่วนที่เหลือก็ใช้หมดแล้ว
ตั้ม: ไอ้แดงค้นสิ!
ไกร: ไม่นะ! ไอ้แดงแกทำข้าวกลางวัน ข้าเลอะกระเป๋าหมด
จากนั้นพวกนักเลงประจำห้องไอ้ตั้ม กับไอ้แดงก็หัวเราะ ทำให้เด็กชายไกรที่ไม่เคยคิดสู้กับใครเลยก็เลยลุกขึ้นสู้ เขาผลักไอ้ตั้มและไอ้แดงล้มลง ทำให้ไอ้ตั้มโกรธมาก แล้วก็พุ่งเข้าใส่เด็กชายไกรโดยแรง จากนั้นก็มีน้ำสีแดงไหลจากตัวของเด็กชายไกรไหลพุ่งลงพื้น ไปทั่ว
แดง: ซวยแล้วเลือดนี่ หวา! ไปไอ้ตั้มยืนเบื้ออยู่ได้หนีเร็ว
หลังจากไอ้ตั้มกับไอ้แดง สองรุ่นพี่ตัวร้ายทั้งที่จบการศึกษาไปแล้ว แต่ก็แวะเวียนมารีดไถรุ่นน้องในคราบนักเลงเสมอ พวกมันวิ่งหนีความผิดของตนไปแล้ว ทิ้งให้เด็กชายไกรล้มลงกับพื้น ที่หน้าท้องของเขามีรูที่น่าจะเกิดจากมีดพร้อมกับเลือดที่ไหลออกมาไม่หยุด ดวงตาเลือนลอย หายใจอ่อนระทวยอยู่นาน ข้างกระเป๋าหนังสือของเขาที่มีหนังสือเรียนกับกล่องข้าวและเศษอาหารกระจัดกระจายอยู่ แต่ก็ยังไม่มีคนมาพบเห็น จนกระทั่งสติของเขาดับไปเหมือนกับโทรทัศน์ที่ถูกดึงปลั๊กแล้ว
....สักพักเขาก็ได้ยินเสียงที่ไพเราะดังมาแต่ไกลและดังขึ้นเรื่อย ๆ ว่า ตื่นได้แล้วลูก! อาบน้ำ และลงมากินข้าวได้แล้ว ลูก! พี่โจ้เขารออยู่ วันนี้มีสอบนะลูก!เสียงของแม่นิดนั้นเอง
เด็กชายไกรปิดวิดีโอเกมที่เขาแอบเล่นเพื่อรอพี่โจ้อาบน้ำจนเผลอหลับไป แล้วจึงเอาจอภาพสวมหัวออก และลุกขึ้นจากเตียงไปอาบน้ำเพื่อรีบไปโรงเรียน
ภาพที่ ๔ จอภาพสวมหัว
ที่มา http://im.ziffdavisinternational.com/ign_de/screenshot/s/sony-entwickelt-konkurrenzprodukt-zu-oculus-rift/sony-entwickelt-konkurrenzprodukt-zu-oculus-rift_ebd3.jpg
...............................
เรื่องที่ วิมานฝันในทะเลนิทรา
ปี .. ๒๐๑๔ มาสเตอร์ สามินี หรือ เซมี่ พาคณะนักศึกษาของ โอ เค ยู ไปดูทัศนศึกษาที่บาหลี เพื่อศึกษาภาษาและและวัฒนธรรมบาหลีในช่วงปิดซัมเมอร์ หลังจากที่ตรวจเช็คพาสปอร์ต และได้รับตั๋วแล้ว เธอก็ต้องมานั่งรอตรง พาสเซนเจอร์ เลาจ์ (Passengers lounge) ซึ่งเป็นจุดพักรอผู้โดยสารขาออกต่างประเทศด้านใน ใกล้ เกต ดี สิบสาม ในขณะที่เธอนั่งอยู่ก่อนรวมพลชาว โอ เค ยู ขึ้นเครื่องนั้น รอบตัวเธอมีชาวต่างชาติมากมาย นอกจากกลุ่มเด็กไทยที่เป็นลูกศิษย์ของเธอ ที่เริ่มมากันบ้างแล้วสองถึงสามคน เป็นอะไรที่เธอเบื่อที่สุดนิสัยแบบไทย กับเรื่องการตรงต่อเวลา รอบ ตัวก็มีแต่คนแก่จะมีก็แต่หนุ่มแขกตัวเหม็น กับพวกฝรั่งผิวสี แต่แล้วเธอเห็นหนุ่มหล่อชาวฝรั่งหนึ่งลากกระเป๋าเดินทางแบบเดียวกับเธอด้วยมานั่งอยู่ด้านข้าง ความหล่อของเขาทำให้เธอนึกถึงเทพ อพอลโล (Apollo) ของกรีกที่เธอเคยเรียนเกี่ยวกับตำนานกรีกสมัยที่เธอเรียนอยู่ที่ออสเตเรีย เมื่อเธอรู้ว่าเขามองทางเธอบ้าง เธอก็รู้สึกเขินอายจนต้องหลบตาเขาแกล้งมองไปทางอื่น และใส่มาดผู้ดีและวิญญาณกุลสตรีไทยเข้าแทนที่เพื่อเป็นเกาะป้องกันความขายหน้าให้กับตัวเอง แต่เมื่อได้โอกาสเธอกลับเหลือบมองไปที่พาสปอร์ตพ่อหนุ่มนั่นทำให้เข้าใจว่าเขามาจากฝรั่งเศสด้วยความอยากรู้อยากเห็น ไม่ได้ปิดนี่แสดงว่าเปิดเผยเป็นของสาธารณชน เหมือนกับว่าถ้าตาเธอสามารถเอ็กซเรย์ได้เธอก็จะมองไปให้เห็นชื่อของเขา แต่ไม่รู้ว่าเขาเดาใจเธอได้หรือไม่ อยู่ เขาก็ส่งยิ้มหวานให้เธอซึ้งถึงใจและดูเหมือนเขาอยากจะออกปากเริ่มทักทายพูดคุยกับเธอ แต่เธอก็แสร้งทำเป็นเมินไม่สนใจ พร้อมกับนึกในใจว่า โอ๊ยฉันไม่ใช่ไก่รองบ่อนนะจ๊ะ ไม่เช่นนั้นไม่ครองโสดมาได้ถึงสี่สิบหรอกจะ!บังเอิญอาจารย์อีกคนหนึ่งที่ต้องร่วมเดินทางไปด้วยมาถึงพอดี
อาจารย์มยุรี : มาสเตอร์เซมี่คะ! นมหกค่า!
มาสเตอร์เซมี่: ว้ายตายแล้ว!
สามินี ร้องขึ้นและรีบเอามือปิดอกเว้าลึกที่เห็นเขาไปถึงร่อง พร้อมกับกวาดตามองอย่างดุเหมือนนางเสือที่คอยดูว่าใครกันที่บังอาจมองนมเหี่ยว ของหล่อน แต่คนส่วนใหญ่ก็หันมามองหล่อนนิดหนึ่งด้วยเสียงแหลม ของหล่อนแล้วก็มองผ่านไปไม่สนใจ เพียงต่อหล่อนเองที่ตูเอาว่าพวกผู้ชายบางคนนั้นแอบมองมาทางหล่อนด้วยสายต่อทะลึ่งทะเล้นต่าง นานา
พออาการโรคจิตวิตกคลายลง เธอก็หันมาพูดแดกแม่มาลินีอาจารย์วัยสาวอีกคนทันที
มาสเตอร์เซมี่: ทำไมช้านักละ น้อง! เห็นเข้ามาก่อนตั้งนานไม่ใช่หรือไปซื้อของลดภาษีมาหรือจ๊ะ!
อาจารย์มยุรี: น้องไปรอดูเด็กให้เขามาก่อนให้ครบทุกคนคะ!
มาสเตอร์เซมี่ : หรือคะ !
สามินีมองอย่างไม่เชื่อ และใจก็คิดว่า เพื่อนร่วมรุ่นน้องงานคงแอบไปซื้อของเพลิน แล้วก็เอาเรื่องรอเด็กเป็นข้ออ้างมากกว่า แต่สักพักพวกเด็กก็ที่เหลือก็ตามเข้ามานั่งรอกันเป็นขบวนเป็นหลักฐานแต่ สามินีก็ไม่ได้เปลี่ยนความเชื่อหรืออคติของเธอเลย
หลังจากนั้นเธอก็ต้องจับปูใส่กระด้งต้อนไอ้พวกลิงทะโมน กับเพื่อนร่วมงานที่เธอมองว่าเป็นพวกบ้านนอกคอกนา ไปทัศนศึกษาต่างประเทศ เมื่อทุกคนได้ขึ้นเครื่องบิน DF 317 แล้วเธอก็ไปนั่งสบายในชั้นเฟิร์สคลาสที่เธอสั่งจองตั๋วราคาพิเศษให้ตัวเองปล่อยให้ยายมยุรีนั่งกับพวกเด็ก เมื่อนั่งไปซักพักเธอก็หลับไปด้วยความเจ้าเนื้อทำให้เธอรู้สึกเหน็ดเหนื่อยกับการเดินทางได้ง่ายกว่าคนอื่น สักพักก็ได้ยินแอร์โฮสเตสปลุกเพื่อเสิร์ฟอาหารพิเศษที่เธอสั่งจองล่วงหน้าไว้แล้ว เธอหลังกินเสร็จเธอก็เหลือบไปเห็นฝั่งตรงข้ามที่หนุ่มฝรั่งเศสนั่งอยู่แล้ว ทำให้เธอรู้สึกหัวใจเต้นตุบ และหน้าแดง เพิ่มอีกจากฤทธิ์ของไวน์ที่ดื่ม ขณะที่กำลังจะเอ่ยบางทักเขาเป็นมารยาท เพราะทึกทักเอาว่า ฝรั่งนั้นชอบตนจนต้องแอบจองตั๋วมานั่งใกล้ แต่ใจหนึ่งก็สำเหนียกว่า อ้วนอย่างตนชาตินี้ก็คงไม่มีคนสนใจ ได้แต่ภาวนาว่า ขอให้เธอพบกับรักในเสียที ในเที่ยวบินครั้งนี้ของเธอเลยก็ได้ อายุจะสี่สิบเอ็ดยังมีไม่คนสนใจทั้งสวยทั้งเก่ง................ แล้วก็มีเสียงดังขึ้นพร้อมกับแสงวาบ และทุกอย่างก็มืดลง
ปี .. ๒๐๔๔ แล้วเหมือนเธอสุนิสา ก็ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ที่พักรอผู้โดยสารก่อนการขึ้นเครื่องที่เรียกว่า พาสเซนเจอร์ เลาจ์ เธอนั่งอยู่ก่อนรวมพลชาว บี ซี ยู ขึ้นเครื่องนั้น รอบตัวเธอมีชาวต่างชาติมากมาย นอกจากกลุ่มนักศึกษาไทยที่เป็นเพื่อน ของเธอ ที่เริ่มมากันบ้างแล้วสองถึงสามคน เป็นอะไรที่น่าเบื่อที่สุดนิสัยแบบไทย กับเรื่องการตรงต่อเวลา รอบ ตัว ก็มีแต่คนแก่จะมีก็แต่หนุ่มฝรั่งหัวแดง กับพวกฝรั่งผิวสี แต่แล้วเธอเห็นหนุ่มหล่อชาวอาหรับหนึ่งลากกระเป๋าเดินทางแบบเดียวกับเธอด้วยมานั่งอยู่ด้านข้าง ความหล่อของเขาทำให้เธอนึกถึงเจ้าชายอาหรับของเปอร์เซียในนิทานอาหรับราตรีที่เธอเคยเรียนเกี่ยวกับวรรณคดีแปลต่างประเทศสมัยรัตนโกสินทร์ สมัยที่เธอเรียนอยู่ที่ปีหนึ่ง ที่อาจารย์ภาษาไทยให้เธอทำรายงาน แต่เธอก็ไม่คิดสนใจอะไรเขานักเพราะเธอพึ่งเลิกกับแฟนเก่ามาหยก พิษรักยังคงสร้างความเจ็บช้ำให้กับหัวใจของเธอลึก เมื่อเธอรู้ว่าเขามองทางเธอบ้าง เธอก็รู้สึกเขินอายจนต้องหลบตาเขาแกล้งมองไปทางอื่น แล้วเธอก็เหลือบไปเห็นตั๋วเครื่องบินของเขาตกอยู่ จึงหยิบขึ้นมาและส่งให้เขา
สุนิสา : อีส ดีส ยัวร์ ทิคเก็ต ? (นี่ตั๋วของคุณใช่ไหม?)
อามีน : โอ! ใช่ครับของผมเอง ขอบคุณครับ
อามีนร้องบอกด้วยความดีใจ
สุนิสา: คุณพูดไทยได้ด้วยหรือคะ !
อามีน : ผมสนใจภาษาไทยครับ เพราะผมมาทำธุรกิจที่นี่ และน้องสาวผมก็เป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนที่ เอ็น อาร์ อาร์ ยู ที่โคราชครับ
สุนิสา : หรือคะดิฉันก็เป็นคนโคราชเหมือนกันค่ะ ! คุณมาจากไหนหรือคะ!
อามีน : ผมมาจากดูไบครับ
และแล้วความสัมพันธ์ของเธอกับอามีนก็เพิ่มพูนขึ้น สุดท้ายหลังจากฝ่าพันอุปสรรคมากมายทั้งเชื้อชาติศาสนา วัฒนธรรม แล้วเธอก็ได้กลายเป็นภรรยาคนที่สี่ของเขาและเข้าพิธีแต่งงานถูกต้องตามประเพณีและด้วยความเต็มใจของเธอเอง แต่เมื่อภรรยาคนแรกของอามีนเสียชีวิตลงไปได้ปีหนึ่ง อามีนโศกเศร้ามากจนขาดความเอาใจใส่ต่อเธอเหมือนเช่นเคย และเมื่อตอนนี้เขาคลายความโศกเศร้าแล้ว เขาก็กลับไปพบรักใหม่กับสาวชาวอเมริกันคนหนึ่งที่ทำหน้าที่เป็นแอร์โฮสเตส ทำให้เธอกลายเป็นของเก่าของเขาไปเสียแล้ว เธอก็เริ่มจะไม่สบายใจ มากขึ้นและมากขึ้นจนกลายเป็นทุกข์หนักในที่สุด เพราะประเพณีอิสลามเคร่งครัดมาก เธอไม่สามารถจะระบายแค้นหรือแสดงความไม่พอใจเล็ก น้อย อะไรกับเขาหรือใครได้เลย เธอจึงขออนุญาตสามีกลับบ้านเพื่อระบายความหนักอกหนักใจของเธอให้พ่อของเธอที่ดูเหมือนจะเป็นผู้ชายคนเดียวในชีวิตที่ไม่เคยทำร้ายเธอเลย และการเดินทางนี้ก็อาจจะเป็นการเดินทางครั้งสุดท้ายของเธอ เพราะเธอคิดว่าเธอจะเมื่อเธอกลับถึงเมืองไทยแล้วเธอจะไม่กลับไปที่ดูไบ อีก แม้ว่าเธอจะสงสัยแล้วว่าเธออาจจะท้องกับเขา ในขณะที่เครื่องบิน KE 903 กำลังบินเหนือทะเลอันดามัน ก็เกิดเสียงดังสนั่นขึ้น พร้อมกับแสงสว่างจ้าขึ้นมาวาบหนึ่งและทุกสิ่งทุกอย่างก็ดิ่งสู่ความมืด
ปี .. ๒๐๗๔ แล้วเหมือนเขาเมธา ก็ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ที่พักรอผู้โดยสารก่อนการขึ้นเครื่อง XC 702 ที่เรียกว่า พาสเซนเจอร์ เลาจ์ เขานั่งอยู่ก่อนรวมพลทีมงานละครรักฉันเธอหรือ? ขึ้นเครื่องนั้น รอบตัวเขามีชาวต่างชาติมากมาย นอกจากกลุ่มพักพวกของเขาเอง ที่เริ่มมากันบ้างแล้วสองถึงสามคน เป็นอะไรที่น่าเบื่อที่สุดนิสัยแบบไทย กับเรื่องการตรงต่อเวลา รอบ ตัวก็มีแต่คนแก่จะมีก็แต่สาวผิวดำ แต่แล้วเธอเห็นหนุ่มหล่อชาวลาตินอเมริกา คนหนึ่งลากกระเป๋าเดินทางแบบเดียวกับเขาด้วยมานั่งอยู่ด้านข้าง ความหล่อของหนุ่มนั้นทำให้เขาอดนึกถึงหนุ่ม นายแบบชาวลาตินอเมริกาที่เขาเคยเคยแอบขั้วอยู่ไม่ได้สมัยไปเดินสายเป็นนายแบบในต่างประเทศ เมื่อเขามองตาหนุ่มนั้นแล้วพ่อหนุ่มนั่นมองตอบ เขาก็รู้สึกเขินอายจนต้องหลบตาพ่อหนุ่มหล่อ นั้นแกล้งมองไปทางอื่น จากนั้นเขาก็ทำเป็นเปิดน้ำอัดลมกระฉูด กระเซ็นไปข้าง โดนหนุ่มรูปหล่อนั้นทันที แรก พอหนุ่มนั่นก็โกรธไม่ใจอย่างมาก
หนุ่มลาติน : เฮย! (หนุ่มลาตินอเมริกาอุทานด้วยความตกใจพร้อมด้วยสีหน้าแสดงความไม่พอใจอย่างมาก)
เมธา : ซอรี ซอรี
ผู้จัดการส่วนตัว : เกิดอะไรขึ้นคะ คุณน้อง?
เมธา : ไม่เป็นไรครับเดี๋ยวผมเคลียร์ เองได้ครับ
ผู้จัดการส่วนตัว: ให้พี่จัดการให้ดีกว่าคะ! เรื่องแค่นี้เองเอาเงินฟาดหัวให้ก็จบค่า!
เมธา : เอ๊! เรื่องของฉันอีแดง เรื่องนี้ฉันจะจัดการเอง ไสหน้าอุบาทว์ของแกลงชักโครกไป
ผู้จัดการส่วนตัวของเมธาสะอึก แต่พอมองหน้าคู่กรณี ฝั่งตรงข้ามเธอถึงกับอ๋อถึงบางอ้อในที ที่จริงเธอก็รู้บ้างแล้วว่า เมธา มีรสนิยมอย่างไร แต่ก็ไม่นึกไม่ฝันว่าเจ้าหล่อนจะกล้ามาแต๋วแตกและแสดงกำพืดต่ำ ของตนต่อหน้าทีมงาน เช่นนี้ ซึ่งแม้ว่าหลายคนจะรู้กันเป็นการภายในบ้างแล้วก็ตาม แต่ต่างคนก็เกรงใจกันเองไม่อยากพูดถึงเรื่องไม่สมควรพูด จึงเหยียบเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ แม้ว่าตอนนี้จะมีผู้รู้เรื่องนี้มากขึ้นแล้ว แต่ในเมื่อความเป็นพระเอกของเมธากำลังขายได้มากกว่า เรื่องนี้จึงยังคงเป็นความลับตลอดไปตราบจนวันที่ดาวรุ่งอย่างเมธากลายเป็นดาวร่วงนั้นแหละ
ด้วยความก๋ากั่นชำนาญเกมส์ เมธาก็ไปขอโทษขอโพย เอาผ้าเช็ดหน้าของเขาเช็ดให้และพาเขาไปล้างเนื้อล้างทั้งตัวในห้องน้ำ พร้อมกับแสดงความใจปล้ำซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ให้เขาเปลี่ยนตามความชอบใจ ไม่นานสัมพันธ์สวาทของเขากับพ่อหนุ่มลาตินอเมริกานั้นก็แน่นแฟ้นอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากที่นั่งของทั้งสองไม่ได้เลือกไว้ให้อยู่ที่นั่งโซนเดียวกันนัก และเขาก็ต้องนั่งกับทีมงานของเขา เมื่อพ่อหนุ่มลาติน เดินผ่านมาและส่งซิกให้รู้ว่า เราน่าจะไปเจอกันที่ห้องน้ำที่อยู่ตอนท้ายของเครื่องบินในเวลาที่ทุกคนเริ่มหลับกัน แต่เมธา และหนุ่มลาตินนั้นยังบรรเลงเพลงรักอยู่ในแดนสุขาวดี เหมือนจะรีบฉกฉวยความสุขจากเนื้อหนังมังสานี้ให้รวดเร็วที่สุด เพราะเมื่ออาทิตย์ที่แล้วหมอประจำตัวของเมธาบอกเขาว่าเขาได้ติดเชื้อ HIV ในขณะที่เกมแห่งรักของหนุ่มคู่สวาทต่างเชื้อชาติทั้งสองได้ดำเนินมาสู่จุดสุดยอด ทันใดในเวลาเดียวกัน นั้นเองก็เกิดเสียงดังขึ้น พร้อมกับแสงจ้าที่สว่างไปทั่ว และทุกสิ่งทุกอย่างก็ดิ่งลงสู่ความมืด
ปี .. ๒๑๐๔ แล้วเหมือนเชษฐ์ ก็ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ที่พักรอผู้โดยสารก่อนการขึ้นเครื่อง BR 765 ที่เรียกว่า พาสเซนเจอร์ เลาจ์ เขานั่งอยู่ก่อนรวมพลชาวบ้านห้วยที่จะไปค้าแรงงานต่างชาติก่อนขึ้นเครื่องนั้น รอบตัวเขามีชาวต่างชาติมากมาย นอกจากกลุ่มพักพวกของเขาเอง ที่เริ่มมากันบ้างแล้วสองถึงสามคน เป็นอะไรที่น่าเบื่อที่สุดนิสัยแบบไทย กับเรื่องการตรงต่อเวลา รอบ ตัว ก็มีแต่คนแก่จะมีก็แต่สาวผิวดำ แต่แล้วเธอเห็นสาวสวยชาวไทย คนหนึ่งลากกระเป๋าเดินทางแบบเดียวกับเขาด้วยมานั่งอยู่ด้านข้าง ความสวยแบบผู้ดีของสาวนั้นทำให้เขาอดนึกถึงดารา และนางแบบ ที่เคยอยู่ในทีวี ที่เขาเคยแอบชื่นชมอยู่สมัยอยู่บ้านนอกคอกนา เมื่อเขามองตาสาวนั้นแล้วสาวสวยคนนั่นก็มองตอบ เขาก็รู้สึกเขินอายจนต้องหลบสายตาแม่สาวสวยนั้นแกล้งมองไปทางอื่น
กานดา : ขอโทษคะ! คุณคะตั๋วของดิฉันหล่นไป อยู่ข้างเท้าคุณคะ! ขออนุญาตเก็บนะคะ
กานดาก้มลงเก็บพร้อมกับเอามือปิดเสื้อซึ่งเว้าเขาไปลึกเห็นเนินอก ทำให้เชษฐ์หนุ่มซื่อจากบ้านนอกใจเต้นตุบ
เชษฐ์ : ไม่เป็นไรครับผมเก็บให้ก็ได้ครับ
กานดา : ขอบคุณคะ
เชษฐ์ : คุณก็ไปที่บรูไนเหมือนกันหรือครับ?
กานดา : ค่ะ! ดิฉันไปทำธุรกิจเสริมความงามและสุขภาพที่โน้นค่ะ
เชษฐ์ : หรือครับผมก็ไปทำงานที่โน้นเหมือนกัน
เชษฐ์กับกานดาคุยกันอย่างถูกคอ และบังเอิญด้วยความขี้เหนียวของกานดาที่ไม่ยอมจ่ายเงินนั่งชั้นเฟิร์สคลาส ก็เป็นอันโชคดีที่ทำให้เชษฐ์กับกานดาได้ที่นั่งใกล้กันจนมีโอกาสคุยกันบนเครื่องบินอีก แม้ว่ากานดาจะเป็นลูกหลานคนรวยแต่ก็เป็นชาวอีสานเหมือนกันกับเชษฐ์ ประกอบกับการที่ครอบครัวกานดาอบรมมาดีทำให้กานดาไม่ใช่คนถือตัว แต่เป็นคนอัชฌาสัยดีไม่ดูถูกคนจน จึงทำให้เชษฐ์และกานดาคุยกันอย่างถูกคอประสาคนบ้านเดียวกัน ที่จากบ้านไปทำงานไกลในต่างแดน แม้ว่าเชษฐ์จะรู้ว่ากานดาเป็นของสูงที่เขาไม่อาจจะป่ายปีน ไปถือเอาได้ เธอเหมือนดวงดาวที่แสนไกล แต่เขาก็เป็นก้อนดินก่อนหนึ่งในเวลานี้ที่มีความสุขกับแสงดวงดาวที่ส่งลงมากระทบเขา บางเพียงรอยยิ้มของเธอก็ทำให้หัวใจของเขาพองโตมีความสุขแล้วด้วยความรักอันบริสุทธิ์และต่างชั้นวรรณะของเขา พราะรักแท้ไม่มีเหตุผลใด ฉับพลันก็เกิดเสียงดังสนั่นขึ้นในทันทีพร้อมกับแสงสว่างจ้าจนมองไม่เห็นสิ่งใด และทุกสิ่งทุกอย่างบนเครื่องบินก็ดิ่งลงไปสู่ความมืด เช่นเดียวกับฝันอันแสนหวานของเขา
ปี .. ๒๑๓๔ แล้วเหมือนเธอไกด์ พลอย ก็ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ที่พักรอผู้โดยสารก่อนการขึ้นเครื่องที่เรียกว่า พาสเซนเจอร์ เลาจ์ เธอนั่งอยู่ก่อนรวมพลนักท่องเที่ยวรอขึ้นเครื่องไปบาหลีนั้น รอบตัวเธอมีชาวต่างชาติมากมาย นอกจากกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวไทยที่เป็นกรุ๊ปทัวร์ของเธอ ที่เริ่มมากันบ้างแล้วสองถึงสามคน เป็นอะไรที่น่าเบื่อที่สุดนิสัยแบบไทย กับเรื่องการตรงต่อเวลา รอบ ตัวก็มีแต่คนแก่จะมีก็แต่หนุ่มฝรั่งหัวแดง กับพวกฝรั่งผิวสี แต่แล้วเธอเห็นสาวหล่อชาวอเมริกาคนหนึ่งลากกระเป๋าเดินทางแบบเดียวกับเธอด้วยมานั่งอยู่ด้านข้าง ความหล่อของเธอทำให้พลอยตกตะลึงมอง เมื่อพลอยรู้ว่าเธอมองทางตนบ้าง พลอยก็รู้สึกเขินอายจนต้องหลบตาแม่สาวหล่อ แกล้งมองไปทางอื่นซึ่งเป็นการโชคดีที่พลอยได้พบอีกบนเครื่องบิน นั่งใกล้กัน เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายชื่อเอ็มมา และพูดไทยได้ พวกเธอก็เริ่มคุยกัน จนกลายเป็นเพื่อนคุยที่ถูกคอในที่สุด
พลอย : เอ็มมา คุณมาเมืองไทยบ่อยไหมคะ!
เอ็มมา: ปีละครั้งคะฉันชอบเที่ยวที่เมืองไทยมากคะ!
พลอย: คุณเคยมาเที่ยวที่โคราชหรือยังคะ!
เอ็มมา: ยังเลยค่ะ! มีอะไรหน้าเที่ยวหรือคะ!
พลอย: โคราชเป็นแหล่งทอผ้าเนื้อดีคะ มีปราสาทหินพิมาย มีเขาใหญ่ และอีกมากมายคะ!
เอ็มมา: ไว้ครั้งหน้าฉันมาเที่ยวเมืองไทยอีก ฉันก็จะแวะไปแล้วกันคะ!
พลอย: มาสิคะ! แล้วฉันจะเป็นไกด์ พาเที่ยวให้คุณเองเพราะดิฉันก็เป็นคนโคราชคนหนึ่ง
เอ็มมา: ดีสิคะ!
พลอยฝันหวานถึงการต่อสัมพันธ์ระยะยาวในอนาคตกับเอ็มมา ในขณะที่เอ็มมาคิดว่าพลอยนั้นจุ้นจ้านน่ารำคาญ อย่างมาก และเป็นพวกชอบคิดเอาเองฝ่ายเดียวในสายตาเอ็มมา แล้วฉับพลันก็เกิดเสียงดังสนั่นขึ้นในทันทีพร้อมกับแสงสว่างจ้าจนมองไม่เห็นสิ่งใด และทุกสิ่งทุกอย่างบนเครื่องบินก็ดิ่งลงไปสู่ความมืด
…………………………………….
ในความมืดนั้นเหมือนมีบางสิ่งกำลังคุยกันอยู่ แล้วก็เหมือนมีแสงสว่างลางเลือนได้ค่อยผุดขึ้นมาเหมือนแสงของแมงกะพรุน หรือปลาที่เรืองแสงได้ด้วยตนเองในมหาสมุทร และห้วงทะเลลึก และแล้วก็ปรากฏกลุ่มบุคคลต่างเดินเข้ามาประชุมกันในห้องผ่านกำแพงที่ยืดหยุ่นได้ เขาไปในห้องที่แวววาวเหมือนไขมุก และถูกสั่งให้ยืนคอยหน้าห้องก่อนให้เข้าไปในห้องโถงใหญ่หลังประตูบานใหญ่ได้ที่ละคนเท่านั้น ภายในห้องนั้น
บนเวทีมีคนแต่งตัวประหลาดที่มีดวงตาโตเท่าไข่ห่านเพียงดวงตาเดียว จ้องมองพวกที่เข้ามาในที่แห่งนั้นเหมือนว่าสามารถมองทะลุเข้าไปถึงตับไตไส้พุง ทั้งหมดใส่ชุดสีขาวมีอยู่ คน และมีเพียงคนหนึ่งใส่ชุดสีดำเป็นคนที่ ซึ่งก็คือประธานที่ประชุมแห่งนี้นั้นเองซึ่งทรงชุดดำนั่งอยู่ตรงกลาง ส่วนซ้ายขวามีพวกชุดขาวนั่งอยู่ข้างละสามตนแล้วท่ามกลางความเงียบสิ่งที่ดูคล้ายมนุษย์ก็ถูกนำเข้ามาในที่ประชุม และแล้วสิ่งที่คล้ายมนุษย์ก็กลายร่างเป็นเหมือนกับอมนุษย์ในห้องนั้นแต่ใส่ชุดสีแดงและไม่มีใบหน้า และแล้วประธานชุดดำก็กล่าวขึ้น
ประธานชุดดำ : หมายเลข ๗๖๕ / เอ ทำไมจึงรีบกลับมาที่นี่อีก โดยภารกิจที่มอบหมายไว้ยังทำไม่สำเร็จ นี่เป็นโอกาสสุดท้ายแล้วถ้าเจ้ายังทำไม่สำเร็จอีกเจ้าจะได้รับการลงโทษ
หมายเลข ๗๖๕ / เอ : เพราะข้าไม่ได้รับอนุญาตให้จำสิ่งใดได้แม้คำสั่ง ฝังความทรงจำบางส่วนให้ข้าสิ
ประธานชุดดำ: เราต้องปรึกษากันก่อน
จากนั้นอมนุษย์ชุดดำก็ปรึกษากับพวกอมนุษย์ชุดขาว เป็นเวลานาน และแล้วเหมือนน้องแก้ววัยแปดขวบก็ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ที่พักรอผู้โดยสารก่อนการขึ้นเครื่องที่เรียกว่า พาสเซนเจอร์ เลาจ์ เธอนั่งอยู่กับคุณพ่อและแม่ของเธอก่อนขึ้นเครื่องไปบาหลีนั้น รอบตัวเธอมีชาวต่างชาติมากมาย นอกจากครอบครัวของเธอ ที่เริ่มมากันบ้างแล้วสองถึงสามคน เป็นอะไรที่น่าเบื่อที่สุดกับการรอคอย รอบรอบตัวต่อก็มีแต่คนแก่จะมีก็แต่หนุ่มฝรั่งหัวแดง กับพวกฝรั่งผิวสี แต่แล้วเธอเห็นหนุ่มชาวไทยคนหนึ่งลากกระเป๋าเดินทางแบบเดียวกับเธอด้วยมานั่งอยู่ด้านข้าง เขาเรียกความสนใจน้องแก้วด้วยการเล่นกล เมื่อน้องแก้วรู้ว่าเขามองทางตนบ้าง น้องแก้วก็รู้สึกหลบตาหนุ่มนั้นด้วยความกลัวจากนั้น เธอก็ร้องไห้เสียงดังขึ้นทันที และผู้คนก็หันมามองชายคนนั้น มีท่าที่ลุกลี้ลุกลน เมื่อมีคนเขามาถามว่าเกิดอะไรขึ้นชายคนนั้นก็ตกใจ วิ่งหนีไปทิ้งกระเป๋าไว้ จนเจ้าหน้าที่ในสนามบินเข้ามาตรวจดูและก็ใช้เครื่องสแกนกระเป๋าของเขาแล้วก็ตกใจรีบให้เคลียร์ทุกคนออกจากพื้นที่ และก็รายงานไปให้เจ้าหน้าที่ตำรวจภายในสนามบินให้รีบจับชายคนนั้นไว้
ภายในเหตุการณ์นี้ทำให้น้องแก้วตัวสั่นงันงก อยู่นานจนที่สุดชายคนหนึ่งก็เข้ามาปลอบโยนแล้วก็พาตัวเธออกไป ที่แท้ก็พ่อของน้องแก้วเอง ผู้ชายที่รักน้องแก้วมากที่สุดในโลกนี้แล้ว ก่อนที่ทางสนามบินจะจัดการทุกอย่างได้เรียบร้อยและสุดท้าย เธอก็ได้ขึ้น เครื่อง DF 713 พร้อมกับคุณพ่อและคุณแม่ของเธอเพื่อเดินทางไปเที่ยวที่ บาหลีอย่างมีความสุข
ที่บาหลีน้องแก้วกำลังเล่นอยู่ที่ชายหาด
มาลีแม่น้องแก้ว: ทำไมน้องแก้วรู้ได้อย่างไรว่า นั้นเป็นผู้ก่อการร้าย
นิยมพ่อน้องแก้ว: เด็กคงจะมีสัญชาติญาณ บางอย่างกระมั่ง หรือแกอาจจะไม่รู้อะไรเลยก็ได้ บางที่คนร้ายมันอาจจะคิดทำอะไรไม่ดีไม่ร้ายกับลูกเราด้วย ลูกเราถึงได้ร้องไห้ออกมาขนาดนั้น
มาลีแม่น้องแก้ว:หรือคะ! น่าสงสารจริง น้องแก้วที่น่าสงสารของแม่ น่าจะลงโทษประหารชีวิตไอ้เลวนั้นซะ!
คุณว่าไหม?
นิยมพ่อน้องแก้ว: ให้เป็นเรื่องของกฎหมายเถอะ..... พอที่เรื่องพวกนี้อย่าคุยอีกเลย เรามาพักผ่อนกันนะ
นิยมพ่อน้องแก้วพูดและก็เอาหมวกปิดหน้านอน ในขณะที่คุณนายขาเม้าท์ มาลีเดินไปเล่นก่อกองทรายกับลูก
ในขณะที่นามทะเลพัดเขามาทำให้ทรายที่น้องแก้วก่อขึ้นลมไม่เป็นท่า น้องแก้วก็ร้องไห้ประสาเด็กขี้แย ทำให้คุณแม่ต้องเข้าไปปลอบโยน
ซึ่งคุณนายมาลีไม่ได้สังเกตเห็นว่าในเงาที่สะท้อนผ่านน้ำทะเล ใบหน้าของน้องแก้วที่ยิ้มพร้อมขี้มูกขี้ตานั้น กลาย เป็นใบหน้าของพลอย กลายเป็นใบหน้าของเชษฐ์ กลายเป็นใบหน้าของเมธา กลายเป็นใบหน้าของสุนิสา กลายเป็นใบหน้าของมยุรี ซึ่งล้วนแต่เป็นผู้เคยได้เสียชีวิตเพราะเหตุการณ์ระเบิดพลีชีพในเครื่องบินทั้งสิ้น แต่แล้วเกลียวคลื่นที่กระทบฝั่งทั้งหลายก็กวาดพาเงาแห่งอดีตทั้งหมดให้เลือนหายไปในทะเล ซึ่งในห่วงทะเลที่ลึกที่สุดบัดนี้กลายเป็นที่เก็บของซากเครื่องบินต่าง มากมาย แม้ว่าร่างกายของเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายจะกลายเป็นอาหารของสัตว์ทะเลหมดสิ้นแล้ว แต่ดวงวิญญาณมากมายของผู้เคราะห์ร้ายยังวายเวียนอยู่ และไม่รู้ว่าตนต้องไปที่ไหน บางวิญญาณบางตนก็ยังคงติดอยู่กับภาพในอดีตเมื่อครั้งที่ตนยังมีชีวิตอยู่ ดังเช่นความฝันและความจริงแห่งห้วงสมุทรแห่งความตายของพวกเขา
ในตอนเช้าวันต่อมาจึงได้มีข่าวในโทรศัพท์ทุกช่องในประเทศไทยว่า ทางการไทยจับตัวหนึ่งในคนร้ายที่ว่างแผนจะระเบิดพลีชีพบนเรื่องบินได้ เชื่อว่าผู้ก่อการร้ายเป็นสมาชิก จากองค์กรก่อการร้ายระดับสากล ที่อาศัยเทคนิคพิเศษบางอย่างที่ยากต่อการตรวจจับบนเครื่องบินเพราะมันเป็นระเบิดที่ไม่ใช่ระเบิดที่เรารู้จัก และมันเป็นความลับต่อความมั่นคงระดับสูง มันล้ำสมัยมากและเป็นสาเหตุให้เครื่องบินหายไปในน่านฟ้าแถบทะเลอันดามัน และประเทศในแถบอาเซียนในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา การจับคนร้ายและยึดของกลางได้ในครั้งที่จะทำให้นักวิทยาศาสตร์ไทยได้ศึกษาการเทคโนโลยีของผู้ก่อการร้ายที่ล้ำสมัยและนำไปสู่การป้องกันการก่อการร้ายในรูปแบบนี้ซ้ำอีกในอนาคต ความดีทั้งหมดเป็นของเจ้าหน้าที่และตำรวจในท่าอากาศยานไทย แต่อย่างไรก็ดีจะต้องมีการตรวจสอบอีกว่าคนพบพาอุปกรณ์ดังกล่าวเล็ดลอดเข้ามาในท่าอากาศยานโดยผ่าน การสแกนบริเวณเมนเทอร์มินอล(Main terminal)ซึ่งเป็นห้องโถงใหญ่ในส่วนของชั้นผู้โดยสารขาออกต่างประเทศได้อย่างไร?
แต่หลายคนก็ยังเชื่อว่า อาจเป็นเพราะปรากฏการหลุมอากาศ หรืออาจเป็นเรื่องของตัวตายตัวแทนตามแนวคิดทางไสยศาสตร์ หรือการลักพาตัวของมนุษย์ต่างดาวมากกว่า แต่อย่างไรก็ดีก็ปรากฏว่าเจ้าตัวคนร้ายนั้นได้หายไปจากที่ห้องขังอย่างไร้ร่องรอยทิ้งปริศนาไว้ให้กับทุกคนที่เกี่ยวข้อง จากนั้นในวันต่อมาก็เป็นวันครบรอบสามสิบปีที่เครื่องบินหลาย ลำหายไปอย่างไร้ร่องรอยพวกญาติของผู้สูญหายก็มาพร้อมกันจุดเทียนให้กับผู้สูญหายทั้งที่พบศพ และยังไม่พบศพในกลางมหาสมุทรอีกมาก
ขอให้ทุกดวงวิญญาณจงหลับอย่างเป็นสุขในห้วงนิทราในทะเลแห่งฝันเถิด...แล้วสักวันเราคงได้พบกัน
ภาพที่ ๕ ภาพปริศนาธรรม
ที่มา http://www.hidhamma.com/wp-content/uploads/2011/04/1.jpg

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น