วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

เผด็จการเสียงข้างมากไม่ใช่ประชาธิปไตย

ประชาธิปไตย = ฟังทุกเสียง เลือกทำตามเสียงส่วนใหญ่ที่มีจิตสำนึกถึงความถูกต้อง และประนีประนอมรักษาประโยชน์ชนกลุ่มน้อย

เผด็จการเสียงข้างมาก = ฟังเสียงส่วนใหญ่ และเลือกทำตามเสียงส่วนใหญ่โดยไม่คำนึงถึงความถูกต้อง และไม่สนใจชีวิตของคนกลุ่มน้อย

(สมมุติเช่น ปัญหาเรื่องการแบ่งปันน้ำจากแม่น้ำโขง ถ้ารัฐจีนซึ่งมีประชากรมากกว่าประเทศอื่น สร้างเขื่อนยึดแม่น้ำโขงไว้ใช้เองไม่ปล่อยน้ำมาให้ประเทศอื่น ๆ ที่มีประชากรน้อยกว่า เช่น ลาว พม่า และเวียดนาม โดยอ้างว่าให้น้ำอยู่กับคนหมู่มาก คือคนจีนเท่านั้น เป็นต้น ถือเป็นเผด็จการเสียงข้างมาก)




วันเสาร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

นกส่งผีขวัญของอียิปต์



ในความเชื่อของอียิปต์โบราณวิญญาณมนุษย์แบ่งออกเป็นห้าส่วนได้แก่

๑. Ren, (ชื่อ)

๒ Ba, (อัตลักษณ์และบุคลิกภาพ - วิญญาณที่ออกจากร่างในรูปของนก)

๓ Ka, (แก่นแท้ของตัวตน - วิญญาณที่เวียนว่ายตายเกิด)

๔ Sheut, (เงา)

๕ Ib หรือ Jb (หัวใจ)

และนอกจากนี้ยังมีวิญญาณอื่นอีก เช่น Ash (ผี หรือวิญญาณที่มีอำนาจในรูปของนก) , Khat (จิตที่อยู่กับร่างกาย) ,


โดยที่วิญญาณแก่นแท้ของผู้ตาย Ka ออกจากศพ จะปรากฏตัวในรูปของ Ba กลายเป็นนก หรือตัวอรหัน (นกที่มีหัวเป็นคน) บินไปสู่โลกหลังความตาย เหมือนดังความฝัน


ระหว่างวิญญาณผู้ตายท่องเที่ยวไปทั่วในรูปของ Ba ญาติพี่น้องก็จะนำศพมาทำพิธีทางศาสนา และทำมัมมี่ จากนั้นจะนำร่างศักดิ์สิทธิ์ของผู้ตายไปเก็บไว้ในสุสานหรือปีรามิด ซึ่งสร้างไว้เพื่อชี้ให้ดวงวิญญาณของผู้ตาย เดินทางไปสู่โลกหลังความตาย โดยชาวอียิปต์เชื่อว่าวันหนึ่งวิญญาณของผู้ตายในรูปนกหรือ Ba จะกลับมาเยี่ยมร่างกายเดิมของตน (โดยบินอยู่เหนือปิรามิด?)



การสร้างปิรามิดของอียิปต์จึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากระบบจักรราศี และดาราศาสตร์ในสมัยนั้นที่
 กลุ่มดาวโอไรออน ในอารยธรรมอียิปต์ถูกมองว่าเป็นเทพโอไซริส เทพหลังความตาย ผู้เป็นมัมมี่ตนแรกในตำนาน โดยชายาของพระองค์เทวีแห่งมนตรา "ไอซิส" เป็นผู้คิดค้นวิธีการทำมัมมี่เพื่อชุบชีวิตพระองค์หลังจากที่พระองค์ทุกพระอนุชาเทพ Seth ฆ่า

ดังนั้นชาวอียิปต์โบราณจึงรู้วิธีการทำมัมมี่ และสร้างปิรามิด ให้ทำมุมสัมพันธ์กับกลุ่มดาวโอไรออน และ ดาวเหนือ (Ursa minor , Reference from Virginia Davis . 1985) ซึ่งก็คือเทพ "ฮอรัส" พญาเหยี่ยว (นกส่งผีขวัญของอียิปต์) คือเทพแห่งท้องฟ้าผู้พาดวงวิญญาณของคนตายนั่งเรือของเทพเจ้ารา (เทพแห่งดวงอาทิตย์) ข้ามแม่น้ำแห่งความตายไปสู่ยมโลก ที่ ๆ เทพอานูบิส (กลุ่มดาวสุนัขใหญ่) จะพาวิญญาณของผู้ตายไปหาเทพโอไซริส (กลุ่มดาวนายพราน) เพื่อชั่งความดีและความชั่วกับขนนกแห่งความจริง ต่อหน้าเทพโอไซริส ก่อนส่งวิญญาณผู้ตายไปยังนรก (โลกมืด) หรือสวรรค์ (โลกสว่าง)

นอกจากนี้อียิปต์ก็ยังมีความเชื่อเรื่องการกำเนิดใหม่ หรือกลับชาติมาเกิด โดยวิญญาณบริสุทธิหรือแก่นแท้ Ka อาจจะได้รับอนุญาติให้มาเกิดใหม่โดยมีนก Bennu หรือนกกระสาอียิปต์ (God of reborn) หรือนกฟินิกซ์แห่งอียิปต์ และเทพฮอรัส เป็นผู้นำหรือส่งดวงวิญญาณเหล่านั้นมาเกิดใหม่ โดยอาศัยเรือของสุริยเทพ "รา" ข้ามแม่น้ำแห่งชีวิตที่ขวางกันระหว่างโลกหลังความตายและโลกมนุษย์

เป็นไปได้ว่าความเชื่อเรื่องแม่น้ำแห่งความตาย (ทางช้างเผือก - แม่น้ำคงคาในสวรรค์) เรือหรือนกส่งผีขวัญไปสู่โลกหน้า   (นกส่งผีขวัญ - ดาวเหนือ- เทพ Horas? ..... Reference from Virginia Davis . 1985) และการเวียนว่ายตายเกิดของคนสมัยโบราณถูกเชื่อมโยงกับดวงดาวบนท้องฟ้า และดาราศาสตร์มาก่อนยุคประวัติศาสตร์ทุกอารยธรรม เพียงแต่การตีความและนิทานที่สร้างขึ้นรับรองนั้นมีรายละเอียดต่างกันไปตามแต่ละวัฒนธรรม...แต่สุดท้ายก็เหมือน ๆ กัน คือดีคนรักก็อวยชัยว่าให้ได้ไปสวรรค์ ชั่วคนชังก็สาปส่งให้ไปตกนรก

หมายเหตุ : นักวิชาการส่วนหนึ่งว่า กลุ่มดาวแม่น้ำ Eridanus คือเทพ Horas แต่ส่วนหนึ่งก็ว่าคือแม่น้ำแห่งชีวิตที่ข้ามไปสู่โลกแห่งความตายของอียิปต์ ดังนั้น Virginia Davis (1985) จึงเสนอว่ากลุ่มดาวหมีน้อย หรือดาวเหนือคือเทพ Horas เพื่อให้สอดคล้องกับตำนานเทพฮอรัส อานูบิส และโอไซริส ผูกพันกับโลกหลังความตาย และกลุ่มดาว Sirius เดิมว่าคือเทวีแห่งมนตรา "ไอซิส" และจระเข้ มาก่อนแต่ต่อมาเมื่อเทพอานูบิสได้รับความนิยมจึงถูกมองว่าเป็นรูปสุนัข (Black Jackal) เพราะมีกลุ่มดาวผมเบเรนิซ ถูกมองว่าเป็นเทวีไอซิสกับบุตรในอารยธรรมอียิปต์อยู่แล้ว

  สรุปได้ว่าการสร้างปิรามิดของอียิปต์โบราณ ก็ไม่ต่างไปจากคติการสร้างพระเมรุมาศในปัจจุบัน เพราะมีเหตุผลที่จะเป็นการแสดงความรักและอาลัยต่อกษัตริย์ผู้จากไปสู่สวรรค์เช่นกัน

เพียงแต่ปิรามิดตั้งใจสร้างเพื่อเก็บไว้ได้ยาวนานนิรันดร์กาล ส่วนพระเมรุมาศไทย

ไม่มีคติที่จะเก็บไว้...เพียงสร้างไว้เป็นครั้ง ไปเท่านั้นตามประเพณีการเผาศพ ไม่ใช่ฝังศพเหมือนอียิปต์โบราณ


ยมโลกของอียิปต์ตามความเชื่อ



ยมโลกของอียิปต์ตามแผนที่ดวงดาว






ในยมโลกของอียิปต์ ผู้ตายจะต้องประกาศความดีที่ตนเคยทำเอาไว้ครั้งที่ตนยังมีชีวิตอยู่ พร้อมทั้งประกาศว่าตนไม่เคยทำความผิดบาป 42 ประการ เช่น ไม่เคยชักชวนให้ผู้อื่นเสียคน ไม่เคยใส่ร้ายป้ายสีใคร ไม่เคยกล่าวคำเท็จ ไม่เคยเบียดเบียนผู้อื่น ไม่เคยฉ้อฉล ไม่เคยสั่งฆ่าผู้ใด ไม่เคยฆ่าใคร ไม่เคยลบหลู่ดูหมิ่นพระเจ้า และไม่เคยทำในสิ่งที่พระองค์รังเกียจ เป็นต้น ผู้ตายจะต้องประกาศสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าเทพโอซิริส (Osiris)

หากสิ่งที่ผู้ตายพูดเป็นความจริง ขนนกของเทพีมะอาทจะหนักกว่าหัวใจของผู้ตาย นั่นก็ถือว่าผู้ตายได้ผ่านการทดสอบ และได้เข้าไปอยู่ในโลกสว่างของเทพเจ้า "รา" ที่เต็มไปด้วยแสงสว่าง ความสวยงาม และความอุดมสมบูรณ์ไม่รู้จักจบจักสิ้น

แต่ถ้าสิ่งที่ผู้ตายพูดเป็นเท็จ หัวใจของผู้ตายจะหนักกว่าขนนกของเทพีมะอาทหรือขนนกแห่งความจริงที่เรียกว่า "Maat" นั่นก็ถือว่าผู้ตายเป็นวิญญาณบาปไม่ได้ผ่านการทดสอบ และผู้นั้นจะถูกเผาด้วยไฟของ เทพอสูร "อามมัต" (Ammut) แล้ววิญญานของผู้นั้นจะตกลงไปสู่โลกมืด ดินแดนแห่งนั้นจะเป็นที่ๆ ผู้ตายจะไม่ได้รับแสงสว่าง และยังเป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยจระเข้ และสัตว์ร้ายขนาดยักษ์มากมาย วิญญาณคนบาปจะได้รับความทุกข์ยาก และความอดอยากหิวโหย

ควรดูเรื่องเทพเจ้าอียิปต์เพิ่มเติมที่ไฟล์วีดิโอด้านล่างเพื่อความเข้าใจ