วันศุกร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2562

การสรรคำเพื่อความไพเราะและงดงาม (ศัพทาลังการ)




ความงามของการสรรคำไทย
ความงามของการสรรคำไทย เป็นการเลือกใช้คำให้ได้ทั้งความไพเราะและความหมายที่ถูกต้องลึกซึ้ง ได้แก่ ความงามของภาษา การสรรคำ เรียบเรียงคำ  มีรายละเอียดดังนี้
1 ความงามของภาษา
ภาษาไทยเป็นภาษาที่มีความไพเราะมีความงามด้วย ถ้อยคำ  เสียง  และความหมายหากใช้ภาษาและศิลปะการประพันธ์ได้ถูกต้องเหมาะสม  ย่อมก่อให้เกิดความงามในภาษา  ดังเช่นตามทฤษฎีวรรณคดีสันสกฤตของอินเดียกล่าวว่า  คำประพันธ์ที่นับได้ว่ามีความงามจะต้องประกอบด้วยอลังการต่าง ๆ  คือ  ภาษาถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของไวยากรณ์หรือฉันทลักษณ์  มีการตกแต่งทางภาษาดี  เมื่ออ่านหรือฟังมองเห็นภาพ (อังคณา ศิริวัฒน์. 2555: 19-22) คือ
1.1 ศัพทาลังการ คือมีการสรรคำดีมีเสียงไพเราะ หรือหนักเบา ตามฉันทลักษณ์
1.2  อรรถาลังการ คือมีการสรรคำที่มีความหมายดี ตามเนื้อความและไวยากรณ์
1.3  อุภยาลังการ คือ การผสานกันระหว่างศัพทาลังการและอรรถาลังการความงามในด้านการใช้คำดี  มีเสียงไพเราะ  และมีความหมายบริบูรณ์ ทำให้เกิดความงามของภาษาหรือ “โสภา”

2. การสรรคำและเรียบเรียงไทย
กิตติมา จันทร์ลาว (2555: 39-77) ได้กล่าวถึงการสรรคำและการเรียบเรียงคำเพื่อนำเสนอกล่าวโดยสรุปได้ดังนี้
2.1 การสรรคำ
การสรรคำ คือการเลือกใช้คำให้สื่อความคิด ความเข้าใจ ความรู้สึก และอารมณ์ได้อย่างงดงาม โดยคำนึงถึงความงามด้านเสียง โวหาร และรูปแบบคำประพันธ์ การสรรคำทำได้ดังนี้
2.1.1 การเลือกคำให้เหมาะแก่เนื้อเรื่องและฐานะของบุคคลในเรื่อง
2.1.2 การใช้คำให้ถูกต้องตรงตามความหมาย
2.1.3 การเลือกใช้คำพ้องเสียง คำซ้ำ
2.1.4 การเลือกใช้คำโดยคำนึงถึงเสียงสัมผัส
2.1.5 การเลือกใช้คำเลียนเสียงธรรมชาติ
2.1.6 การเลือกใช้คำไวพจน์ได้ถูกต้องตรงตามความหมาย
2.2 การเรียบเรียงคำ    
 การเรียบเรียงคำ คือการจัดวางคำที่เลือกสรรแล้วให้มาเรียงร้อยกันอย่างต่อเนื่องตามจังหวะ ตามโครงสร้างภาษา หรือตามฉันทลักษณ์ ซึ่งมีหลายวิธีเช่น
2.2.1 จัดลำดับความคิดหรือถ้อยคำจากสิ่งสำคัญจากน้อยไปมาก จนถึงสิ่งสำคัญสูงสุดอันเป็นจุดสุดขั้น
2.2.2 จัดลำดับความคิดหรือถ้อยคำจากสิ่งสำคัญน้อยไปหามาก แล้วหักมุมความคิดผู้อ่าน
2.2.3 จัดลำดับคำให้เป็นคำถามแต่ไม่ต้องการคำตอบหรือมีคำตอบอยู่ในตัวคำถามแล้ว
2.2.4 เรียงถ้อยคำเพื่อให้ผู้อ่านแปลความหมายไปในทางตรงข้ามเพื่อเจตนาเยาะเย้ย ถากถาง
2.2.5 เรียงคำวลี ประโยค ที่มีความสำคัญเท่าๆกัน เคียงขนานกันไป
ดังนั้นความหมายที่ถูกต้อง ความหมายที่ดีทางภาษา เป็นสิ่งที่ควรไปควบคู่กับความงามหรือสุนทรียภาพทางภาษา แม้ว่าบางครั้งเราจะฟังเพลงต่างประเทศที่เราไม่รู้ความหมายว่าไพเราะด้วยท่วงทำนองที่ชื่นชอบ แต่ถ้าได้รู้แจ้งในความหมายก็จะทำให้เข้าถืออรรถรสของบทเพลงนั้น ๆ อย่างแท้จริง เช่นเดียวกับการร้อยเรียงภาษาเพื่อสร้างสุนทรียภาพต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นบทละคร บทกวี หรืองานเขียนเชิงสร้างสรรค์ประเภทต่าง ๆ ซึ่งความหมายการสรรคำ และเรียบเรียงคำเป็นหัวใจสำคัญของความไพเราะลึกซึ้งของบทประพันธ์นั้น พอ ๆ กับการสร้างสรรค์ท่วงทำนองที่งดงาม

    
     3. ศัพทาลังการที่เข้าใจง่าย
              3.1 ยมก คือการซ้ำคำ คำที่ซ้ำส่วนใหญ่มีเสียงเหมือนกันแต่ความหมายต่างกัน เช่น 

                 ลางลิงลิงลอดไม้ ..........ลางลิง

                  แลลูกลิงลงชิง ..............ลูกไม้
                 ลิงลมไล่ลมติง ...............ลิงโลด หนีนา
                 แลลูกลิงลางไหล้ ..........ลอดเลี้ยวลางลิง
                                                       (ลิลิตพระลอ)
            

                 เบญจวรรณจับวัลย์ชาลี................เหมือนวันพี่ไกลสามสุดามา
                ตระเวนไพรร่อนร้องตระเวนไพร ...เหมือนเวรใดให้นิราศเสน่หา
                                                       (อิเหนา : พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 2)

            3.2 อนุปราส คือการซ้ำพยัญชนะเหมือนกันแม้ว่าจะมีสระต่างกัน คล้ายคลึงกับสัมผัสอักษรของไทย แต่มีกฎเกณฑ์ปลีกย่อยเกี่ยวกับจำนวนครั้งที่ซ้ำยิบย่อยกว่าของไทย

                 เห็นหงส์เหินห่างไห้...............หนหาย
                 ทวยเทพเท็จทูลทาย................ทุกข์ไท้
                 ยลยนต์โพยมพาย..................พลาดฤทธิ์
                 ชำรุดชะเลใกล้.......................พลัดลูก เมียเอย
                                                            (นิทานหงส์ยนต์ : เอ็ม รุทรกุล)
     
       


           4. การสรรคำเพื่อใช้ในการแต่งบทกวีพนธ์หรือการเล่นคำของไทยที่ก็ถือว่าเข้าลักษณะของ ศัพทาลังการแบบไทย ๆ เช่นกัน คือการสรรคำเพื่อสร้างสัมผัสให้ไพเราะในบทกวีนิพนธ์หรือคำคล้องจองของไทยมีหลายลักษณะ เช่น เล่นคำสัมผัสใน ซึ่งมีทั้งสัมผัสอักษรและสัมผัสสระ การเล่นคำพ้อง การเล่นคำคำเดียวในต้นวรรค  ตัวอย่างเช่น

               4.1    การเล่นสัมผัสอักษร  คือการใช้คำที่มีอักษรซ้ำกันแต่สระต่างกันเพิ่มเติมในบทกวี

           ลางลิงลิงลอดไม้………….ลางลิง
           แลลูกลิงลงชิง…………......ลูกไม้
           ลิงลมไล่ลมติง………………ลิงโลด หนีนา
           แลลูกลิงลางไหล้ …………....ลอดเลี้ยวลางลิง
                                                 (ลิลิตพระลอ)

               4.2     การเล่นสัมผัสสระ คือการใช้สัมผัสสระเพิ่มเติ่มขึ้นมานอกจากสัมผัสสระที่เป็นสัมผัสบังคับ ซึ่งจะต้องระวังไม่ให้สัมผัสสระไปตรงกับสัมผัสบังคับซึ่งจะทำให้เกิดการชิงสัมผัส

              โอ้คลองขวางทางแดนแสนโสทก…………ดูบนบกก็แต่ล้วนลิงแสม
               เลียบตลิ่งวิ่งตามชาวเรือแพ…………………ทำลอบแลหลอนหลอกตะคอกคน
               คำโบราณท่านผูกถูกทุกสิ่ง…………………เขาว่าลิงจองหองทำพองขน
               ทำหลุกหลิกเหลือกลานพาลลุกลน…………เขาด่าคนจึงว่าลิงโลนลำพอง
                                                                                     (นิราศเมืองแกลง : สุนทรภู่)

                4.3     การซ้ำคำเดียวในต้นวรรค  ถือว่าเป็นการเล่นคำกระทู้ อย่างหนึ่ง ซึ่งปกติกระทู้อาจจะไม่จำเป็นต้องเป็นคำซ้ำแต่อาจจะเป็นข้อความหรือวลีสี่คำที่มีความสัมพันธ์กันก็ได้ แต่กรณีที่เป็นการเล่นคำแบบคำซ้ำก็จึงต้องเป็นคำเดียวกันซ้ำ ๆ กัน

                   เสียงสรวลระรี่นี้…………………เสียงใด
                   เสียงนุชพี่ฤาใคร…………………ใคร่รู้
                   เสียงสรวลเสียงทรามวัย…………นุชพี่ มาแม่
                   เสียงบังอรสมรผู้ …………..……อื่นนั้นฤามี
                                                                       (กาพย์เห่เรือ : เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร)

                4.4     การเล่นคำซ้ำในแต่ละวรรค คือการใช้คำซ้ำในแต่ละวรรคเพื่อเน้นความหมาย และเสียงซ้ำกัน

          ต้นตุมกากาฝากฝูงกาลง…………………กาหลงกามองร้องกากา
        โน่นไม้คางข้างเขาล้วนเหล่าค่าง…………บ้างเกาคางห่มคาบ้างถ่างขา
        ตะลิงปิงลิงวิ่งไล่ลิงลง……………………ลิงถลาโลดไต่ไม้ลางลิง
       หมู่ไม้ใหญ่ยางยูงสูงระดะ………………. ดูเกะกะเถาวัลย์ขึ้นพันกิ่ง
      บ้างกลมเกลียวเกี่ยวกันขันจริงจริง……… ..บ้างเป็นชิงช้าน่าแกว่งไกว
                                                                          (ขุนช้างขุนแผน)

                 4.5     การเล่นคำพ้องเสียง คือ การใช้คำที่มีเสียงเหมือนกันแต่เขียนต่างกัน ซึ่งโดยมากมักมีความหมายต่างกันด้วย ดังตัวอย่าง

          เบญจวรรณจับวัลย์ชาลี……………..……เหมือนวันพี่ไกลสามสุดามา
        ตระเวนไพรร่อนร้องตระเวนไพร…………เหมือนเวรใดให้นิราศเสน่หา
                                                                            (อิเหนา : พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๒)




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น