วันพฤหัสบดีที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2562

การสรรคำให้เกิดภาพพจน์ (อรรถาลังการ)


การใช้คำให้เกิดภาพพจน์ (figure of speech)

 ภาพพจน์  หมายถึง  คำ  หรือ  กลุ่มคำ  ที่สร้างขึ้นจากกลวิธีในการใช้คำ  เพื่อให้ปรากฏภาพที่เด่นชัดและลึกซึ้งขึ้นในใจทำให้ผู้อ่านและผู้ฟังเกิดจินตภาพคล้อยตาม  การสร้างภาพพจน์เป็นศิลปะทางภาษาขั้นสูงของการแต่งคำประพันธ์  โดยผู้แต่งใช้กลวิธีการเปรียบเทียบที่คมคายในลักษณะต่างๆ  ภาพพจน์มีหลายประเภท  แต่ที่สำคัญๆ  คือ


ใบหน้างดงาม (คำอุปไมย) 



ดุจ (คำเชื่อม) 




ดวงจันทร์ (คำอุปมา) 

 


 ๑.  อุปมา (Similes) ซิ-หมิ-หลิส

อุปมา คือการเปรียบสิ่งหนึ่งเหมือนอีกสิ่งหนึ่ง  โดยใช้คำเชื่อมเหล่านี้ "เหมือน ราว ราวกับเปรียบ ดุจ ประดุจ ดัง ดั่ง เฉก เช่น เพียง เพี้ยง ประหนึ่ง ถนัด กล เล่ห์ ปิ้มว่า ปาน  ปูน พ่าง ละม้าย แม้น เป็นต้น

๐ โอ้ว่าอนิจจาความรัก             
พึ่งประจักษ์เหมือนสายน้ำไหล
มีแต่จะเชี่ยวเป็นเกลียวไป       
ไหนเลยจะไหลหวนกลับคืนมา

                    (อิเหนา ฉบับของร.๒)




๒.  อุปลักษณ์ (Metaphor) เมตาฟอร์
การเปรียบสิ่งหนึ่งเป็นอีกสิ่งหนึ่ง มักใช้คำว่า "คือ" และ "เป็น" เช่น
๐ สิ่งใดในโลกล้วน
อนิจจัง
คงแต่บาปบุญยัง
เที่ยงแท้
คือเงาติดตัวตรัง
ตรึงแน่น อยู่นา
ตามแต่บาปบุญแล้
ก่อเกื้อรักษา ฯ

              (ลิลิตพระลอ)

บางครั้งภาพพจน์แบบอุปลักษณ์ไม่มีคำกริยา "คือ" และ "เป็น" ให้สังเกต เราจะต้องตีความเอาเอง เช่น





 ๓) บุคคลวัต หรือ บุคลาธิษฐาน (Personification) เพอร์ซันนิฟิเคชั่น

บุคคลวัต หรือ บุคลาธิษฐาน คือการสมมุติสิ่งต่าง ๆ ให้มีกิริยาอาการ ความรู้สึกเหมือนมนุษย์ เช่น
๐ ต้นไม้แต่งตัว   
อยู่ในม่านมัวของหมอกคราม
บ้างลอกเปลือกอยู่ปลามปลาม  
บ้างแปรกิ่งประกบกัน
บ้างปลิวใบสยายลม   
บ้างชื่นชมช่อชูชัน
บ้างแตกกิ่งอวดตาวัน   
บ้างว่อนไหวจะร่ายรำ
บ้างเตรียมหาผ้าแพรคลุม  
บ้างประชุมอยู่พึมพำ
ท่านผู้เฒ่าก็เตรียมทำ  
พิธีสู่ขวัญผู้เยาว์

           (เพลงขลุ่ยผิว, เนาวรัตน์  พงษ์ไพบูลย์)



๔ ) สมมุติภาวะ (apostrophe)  อะพอสทรอฟี่
แต่เดิมในวรรณคดีไทยสมมุติภาวะ (apostrophe) ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของบุคลาธิษฐานหรือบุคคลวัต (Personification) แต่นักวิจารณ์วรรณคดีสมัยปัจจุบันบางท่านเอาทฤษฏีของการวิจารณ์วรรณคดีฝรั่งมาจับกับวรรณคดีและวรรณกรรมไทยมากขึ้นทำให้มีการแยกย่อยออกมาเป็นทฤษฎีที่ซับซ้อนมากยิ่งขึ้น
สมมุติภาวะ คืเป็นภาพพจน์รูปแบบหนึ่ง  กำหนดให้ผู้เขียน  หรือบุคคลในเรื่องกล่าวถ้อยคำพูดจากับสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ อาจเป็นสถานที่  สิ่งของ  สัตว์  ต้นไม้  ดอกไม้  ความคิด  นามธรรมใดๆ  หรือแม้แต่บุคคลที่ตายไปแล้ว  หรือไม่อยู่ ณ ที่นั้น สมมุติภาวะจึงคล้ายคลึงกับบุคลาธิษฐานที่สมมุติสิ่งที่มิใช่มนุษย์ให้เป็นมนุษย์ขึ้นมา  แต่สมมุติภาวะไปไกลกว่านั้น  คือให้ตัวละครหรือกวีมีการพูดจาหรือตอบโต้กับสิ่งที่สมมุติเป็นมนุษย์นั้นอีกด้วย  เช่น
๔.๑ สมมุติภาวะที่มีการสร้างเป็นตัวละครขึ้นมาในเนื้อเรื่อง เช่น เรื่องใช้หงส์เป็นสื่อรักให้นางทมยันตรีกับพระนลที่ว่า
๏ เมื่อนั้นยุพาพรลำเภา
อรเยาวะสุนทรี
ปางทรงสดับสกุณปรี
ดิก็ตอบยุบลไป
๏ ดูราพิหคกนกหงส์
จะประสงค์ประการใด
จงเร่งระเห็จอำพรไคล
ณะนิษัธนครฃัณฑ์
๏ บรรยายยุบลกลประสงค์
ดุจหงส์จำนงสรร
ทูลองค์พระนลพลอนันต์
กลที่ทำนูนเรา ฯ
๏ บัดนั้นสุโนคสิรประณต
วรนุชนงเยาว์
ทูลลายุพาอรลำเภา
จรเหิรระเห็จคลา
๏ ถ่องทูลพระนลนรบดี
ธก็ปรีดิหรรษา
ปลื้มเปรมเกษมกมลมา
ลยะแผ้วพิมลศรี ฯ
(พระนลคำฉันท์  พระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์)
๔.๒ สมมุติภาวะที่สร้างเป็นมายาภาพชั่วขณะหนึ่งเพื่อบรรยายความนึกคิดของกวี เช่น การที่พระเพื่อนพระแพงหลงพูดกับนกในเรื่องพระลอ



 ๕) อติพจน์ (Hyperbole) ไฮเปอร์โบลี่
การเปรียบเทียบโดยการกล่าวข้อความที่เกินจริง มักเปรียบเทียบในเรื่องปริมาณว่ามีมากเหลือเกิน มีเจตนาเน้นข้อความที่กล่าวนั้นให้มีน้ำหนักยิ่งขึ้น เช่น
๐ ตราบขุนคิริขัน   
ขาดสลาย  ลงแม่
รักบ่หายตราบหาย   
หกฟ้า
สุริยจันทรขจาย  
จากโลก  ไปฤา
ไฟแล่นล้างสี่หล้า   
ห่อนล้างอาลัย

           (นิราศนรินทร์)
เนื้อหา :
แม้ว่าภูเขาจะทลายลงหมดสิ้น แม้สรรค์ชั้นกามาพจรหกชั้นฟ้า (ความเชื่อเรื่องไตรภูมิ) จะหายไปแต่ความรักที่มีต่อหญิงอันเป็นที่รักก็ยังคงอยู่ ไม่หายไปหรือหมดสิ้น
แม้ว่าพระอาทิตย์พระจันทร์จะดับสิ้นไปหมด และเกิดไฟบรรลัยกัลป์ขึ้นมาล้างโลก (ความเชื่อเรื่องไตรภูมิ) แต่ความรักของกวีจะไม่มีสุดสิ้นไปจากหญิงผู้เป็นที่รัก
สาระสำคัญ : เนื้อความเหล่านี้เป็นการกล่าวเกินจริง เพื่อเป็นการย้ำความให้เห็นว่ากวีมีความรักที่มั่นคงต่อหญิงที่เป็นที่รักให้หนักแน่นยิ่งขึ้น ปัจจุบันใช้คำว่า “รักเธอชั่วนิรันดร์” ถือว่าเป็นการใช้คำให้เกิดภาพพจน์ที่เรียกว่า “อติพจน์”



๕) อวพจน์ (meiosis) ไมโอซิส
อวพจน์ หมายถึง การกล่าวผิดไปจากที่เป็นจริง เป็นการกล่าวเกินจริง  โดยมีเจตนาเน้นข้อความน้อยกว่าจริง

ตัวอย่าง

  ที่กรุงไกรใครเขาจะเมตตา
อิฐผากลางถนนจะต่างหมอน
ตะรางเรือกเฝือกฟากต่างที่นอน
จนชั้นน้ำใครจะคอนให้อาบกิน
ญาติกาหาไหนมีใครเล่า
จะส่งข้าวปลาหมดคงอดสิ้น
จะเป็นความถามไถ่ในบุริน              
เงินแต่เท่าปีกริ้นก็ไม่มี

                   (ขุนช้างขุนแผน)




 ๖) นามนัย หรืออธินามนัย (metonymy) เมโตนีมี

คือ การเปรียบเทียบ โดยจาระไนของหลาย ๆ อย่างที่มีลักษณะเหมือนกันหรือคล้ายคลึงกันมากล่าวนำ และสรุปความหมายรวม คือใช้ชื่อเรียกรวม ๆ แทนสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือบุคคลกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หรือคนใดคนหนึ่ง
๐ เลือดสุพรรณวันก่อนเคยร้อนรุ่ม 
หลั่งลงรุ่มฉาบดินทุกถิ่นฐาน
บัดนี้เย็นเป็นสุขทุกประการ  
เพราะไทยหาญหวงถิ่นไว้ให้ไทยเอย

(เลือดสุพรรณ : ประสิทธิ์  โรหิตเสถียร)
คำว่าไทยหาญ ในบทกลอนข้างต้น หมายถึง เฉพาะบรรพบุรุษชาวไทย ไม่ได้หมายถึงประเทศไทยหรือเชื้อชาติหรือสัญชาติแต่อย่างใด จึงเรียก อธินามนัย ส่วน ไทย คำหลังหมายถึงประเทศไทย
นอกจากนี้หมายถึงภาพพจน์ที่เกิดจากการใช้สิ่งหนึ่งแทนอีกสิ่งหนึ่ง อาจเป็นคำๆ เดียวหรือข้อความโดยใช้คำอื่นแทนไม่เรียกตรงๆ ส่วนใหญ่จะเป็นคำที่รู้จักกันทั่วไป

เจ้าลืมนอนซ่อนพุ่มกระทุ่มต่ำ
เด็ดใบบอนช้อนน้ำที่ไร้ฝ้าย
พี่เคี้ยวหมากเจ้าอยากพี่ยังคาย
แขนซ้ายคอดแล้วเพราะหนุนนอน

                   (ขุนช้าง ขุนแผน)
เนื้อหา : ตามเนื่องเรื่อง ขุนแผน อ้างถึงความหลังที่เคยมีความรักและการแอบเพศสัมพันธ์กันในไร่ฝ้าย แต่ไม่พูดออกมาตรงพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอื่น ๆ เช่นการนอนแอบอยู่ในพุ่มไม้ด้วยกัน การเด็ดใบบอนเอามาช้อนน้ำดื่ม การคายหมากที่เคี้ยวแบ่งให้กันกินเป็นต้น
สาระสำคัญ : ขุนแผนอ้างถึงความรักครั้งเก่ากับนางวันทอง เพื่อบังคับให้นางหนีตามไปด้วย



๗) สัมพจนัย (synecdoche) ซู-เนค-โด-แค
การวิจารณ์วรรณคดีไทยสมัยก่อนรวมเอาสัมพจนัยกับนามนัยได้ด้วยก่อนต่อมานักวิจารณ์ในสมัยหลังบางคนแบ่งแยกย่อยออกมาเป็นนามนัย(metonymy) และสัมพจนัย(synecdoche) 
สัมพจนัยคือ การใช้คำหรือวลีที่บ่งลักษณะหรือคุณสมบัติของสิ่งใดสิ่งหนึ่งมาแสดงความหมายแทนสิ่งนั้นทั้งหมด หรือใช้ส่วนย่อยที่สำคัญ  แทนส่วนใหญ่ทั้งหมด  เช่น ใช้ เวที แทน การแสดง มงกุฎ, พระบาท แทน กษัตริย์ เก้าอี้ แทนตำแหน่งหน้าที่ของผู้บริหาร ข้าวปลา แทน อาหาร ล้อแทนรถทั้งคัน  ดังคำ  สิบล้อ  สามล้อ  สองล้อ  ใช้คำว่า  เท้า(ตีนแทนสัตว์ทั้งตัว  ในข้อความว่า  สี่ตีนยังรู้พลาด  ฯลฯ เช่น




จากแรงมาเป็นรวง     
ระยะทางนั้นเหยียดยาว
จากรวงเป็นเม็ดพราว  
ล้วนทุกข์ยากลำเค็ญเข็ญ
เหงื่อหยดสักกี่หยาด    
ทุกหยดหยาดล้วนยากเย็น
ปูดโปนกี่เส้นเอ็น       
จึงแปรรวงมาเป็นกิน
น้ำเหงื่อที่เรื่อแดง      
และน้ำแรงอันหลั่งริน
สายเลือด กู ทั้งสิ้น     
ที่สูซดกำซาบฟัน

(ของ จิตร ภูมิศักดิ์)
เหงื่อ น้ำเหงื่อ สายเลือด (ของชาวนา) แทนความทุกข์ของชาวนา และข้าว ซึ่งเป็นผลิตผลที่เกิดจากความทุกข์ยากลำบากในการปลูกข้าวของชาวนา


๘)  สัญลักษณ์ (Symbol)

การใช้สิ่งหนึ่งแทนอีกสิ่งหนึ่งที่มีคุณสมบัติหรือลักษณะภาวะบางประการร่วมกันเป็นการสร้างจินตภาพซึ่งใชัรูปธรรมชักนำไปสู่ความหมายอีกชั้นหนึ่ง  ส่วนใหญ่มักจะเป็นที่เข้าใจในสังคม เช่น ใช้ ดอกไม้ แทน ผู้หญิง เพราะมีคุณสมบัติร่วมกัน คือความสวยงามและความบอบบาง ใช้ ราชสีห์ แทน ผู้มีอำนาจ เพราะราชสีห์และผู้มีอำนาจต่างมีคุณสมบัติร่วมกันคือความน่าเกรงขาม


ตัวอย่าง สัญลักษณ์อื่นที่มักพบเห็นกันเสมอๆ เช่น



สัญลักษณ์
สิ่งที่สื่อความหมาย/แปลความหมาย
พระอินทร์
ชายรูปงาม ใจบุญ
ขุนแผน
ชายเจ้าชู้
นางวันทอง
หญิงหลายใจ
ยักษ์
คนใจดำ ใจโหดผิดมนุษย์
ดอกกุหลาบ
ความรัก
ดอกกล้วยไม้
การศึกษา
ดอกฟ้า
หญิงผู้สูงศักดิ์
ดอกมะลิ 
ความบริสุทธิ์ ความชื่นใจ วันแม่
นกพิราบ
สันติภาพ
หมอก
มายา อุปสรรค สิ่งที่สลายตัวรวดเร็ว 
หมาวัด
ชายที่ต้อยต่ำ ยากจน
โรงเรียนสีขาว
โรงเรียนที่ปราศจากยาเสพติด
รุ้ง
ความหวัง พลัง กำลังใจ
ปัจจุบันเป็นสัญลักษณ์ของพวกเพศทางเลือก เช่น เกย์ (gay) เลสเบียน (lesbian)




 ๙) สัทพจน์ (Onomatopoeia) อาห์นุห์มาโตเปีย

สัทพจน์ หรือคำเลียนเสียงธรรมชาติ คือ การเปรียบเทียบโดยใช้คำเลียนแบบให้เห็นท่าทาง แสง สี ได้ยินเสียงอย่างใดอย่างหนึ่งหรือ หลายอย่างรวมกันก็ได้ มักจะพบในความเป็นธรรมชาติ หรือเครื่องดนตรี หรือเครื่องใช้ตามวิถีชาวบ้าน เช่น



ต้อยตะริดติดตี่เจ้าพี่เอ๋ย 
จะละเลยเร่ร่อนไปนอนไหน
แอ้อี๋อ่อยสร้อยฟ้าสุมาลัย 
แม้นเด็ดได้แล้วไม่ร้างให้ห่างเชย

        (พระอภัยมณีของสุนทรภู่)
ต้อย ตะริด ติดตี่ แอ้ อี๋ อ่อย แทนเสียงของ “ปี่” ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีเป่าคล้ายขลุ่ยชนิดหนึ่ง
 อุปนิเสธ (litotes)  ไลโททีซ
เป็นภาพพจน์ที่กล่าวลดน้ำหนักความลงในเชิงปฏิเสธ  เช่น
ถ้าขืนตั้งประชิดติดกรุงไกร 
คงชิงชัยไม่ฟังท่านพาที
เมตตาว่าน้องเป็นสตรี   
จะทอดทิ้งมารศรีเสียอย่างไร
ใช่นางเกิดในปทุมา 
สุริยวงศ์พงศานั้นหาไม่
จะมาช่วงชิงกันดังผลไม้   
อันจะได้นางไปอย่าสงกา ฯ

(อิเหนา ตอนศึกกะหมังกุหนิง ของ ร. ๒)



 ๑๐) ปฏิพจน์ หรือ วิภาษ(Oxymoron) อ๊อก-ซี-โม-รอน
ปฏิพจน์ หรือ วิภาษ บ้างครั้งก็เรียกว่า ปฏิภาคพจน์ และ ปฏิพากย์ ก็มี คือ คำหรือวลี หรือสิ่งที่ตรงข้ามกันนำมาจับเข้าคู่กัน โดยคำและความหมายที่ไม่สอดคล้องกันและดูเหมือนจะขัดแย้งกันมารวมไว้ด้วยกันเพื่อให้เกิดผลการสื่อสาร ทำให้เกิดการเปรียบเทียบความขัดแย้ง ที่ไม่สามารถเข้ากันได้ เช่น กากับหงส์ ดินกับฟ้า มืดกับสว่าง ดังตัวอย่างเช่น
โดยลักษณะของปฏิพจน์ มีลักษณะใหญ่สองอย่าง คือ
๑๐.๑ กล่าวถึงสิ่งที่ขัดแย้งเปรียบเทียบให้เห็นโดยตรง เช่น
แดดหนาว,
มีความเคลื่อนไหวในความหยุดนิ่ง
แทบฝั่งธารที่เราเฝ้าฝันถึง  
เสียงน้ำซึ่งกระซิบสาดปราศจากเสียง
จักรวาลวุ่นวายไร้สำเนียง  
โลกนี้เพียงแผ่นภพสงบเย็น

           (วารีดุริยางค์, เนาวรัตน์  พงษ์ไพบูลย์)
คู่ที่ขัดแย้งกัน
คำศัพท์
คำตรงกันข้าม
(แดด) ร้อน
หนาว
เคลื่อนไหว
หยุดนิ่ง
เสียง 
ปราศจากเสียง
วุ่นวาย
ไร้สำเนียงและสงบเย็น

๑๐.๒  กล่าวเสียดสี หรือพูดถึงสิ่งที่ตรงข้ามกับความเป็นจริง เช่น ให้สิ่งที่งามเป็นไม่งาม พูดถึงสิ่งที่ไม่งามให้ดูงาม แต่พูดถึงเพียงสิ่งใดสิ่งหนึ่งไว้อย่างลึกซึ้ง ส่วนการเปรียบเทียบเกิดในใจของผู้อ่านเอง ดังเช่น เรื่องระเด่นลันได
๐ มาจะกล่าวบทไป
ถึงระเด่นลันไดอนาถา
เสวยราชย์องค์เดียวเที่ยวรำภา
ตามตลาดเสาชิงช้าหน้าโบสถ์พรามหณ์
อยู่ปราสาทเสาคอดยอดด้วน
กำแพงแก้วแล้วล้วนด้วยเรียวหนาม
มีทหารเหาหอนเฝ้าโมงยาม
คอยปราบปรามประจามิตรที่คิดร้าย

                           (เรื่องระเด่นลันได)
เนื้อหา : ระเด่นลันได เป็นขอทานยากจน เที่ยวขอทานตามตลาดหน้าเสาชิงช้าหน้าโบสถ์พรามหณ์ ระเด่นลันไดแอบเข้าไปอาศัยอยู่ในวัดร้างยอดพระเจดีย์หัก ที่ล้อมลวดหนามเอาไว้ มีสุนัขค่อยเห่าไล่
การสรรคำ : กวีใช้คำที่ขัดแย้งกัน แม้ว่าจะไม่ใช้คำตรงกันข้ามกัน แต่ก็ทำให้เกิดโวหารปฏิพจน์ โดยเอาคำศัพท์ที่ใช้สำหรับกษัตริย์หรือเจ้าชายในวรรณคดีไทย มาใช้กับระเด่นลันไดที่เป็นขอทานเพื่อเป็นการเสียดสีและยั่วล้อวรรณคดีไทยในรูปแบบเก่า ๆ เช่น เรื่องอิเหนา เป็นต้น
คำที่มีเนื้อความเข้ากันได้
บทบาทของเจ้าชายในวรรณคดี เช่น อิเหนา
คำและเนื้อความที่เข้ากัน

บทบาทของตัวละครระเด่นลันได
คำและเนื้อความที่เข้ากัน
ศัพท์
คำที่เข้ากัน

ศัพท์
คำที่เข้ากัน
ระเด่น
(เจ้าชายเจ้าหญิง)
สมบูรณ์พูนสุข

ยาจก
(คนขอทาน)
อนาถา
ปราสาทวัง
มียอดสูงใหญ่

วัดร้าง
เสาคอดยอดด้วน
เสวยราชย์
มีข้าราชบริพารมาก

ยากจน, จรจัด
คนเดียวเที่ยวรำภา
ทหาร (คน)
รักษาพระองค์

สุนัข
เห่าหอน (ไล่)

  
คำที่ขัดแย้งกัน
คำศัพท์
คำตรงกันข้าม
คำคู่ตรงกันข้าม
ระเด่น (เจ้าชายเจ้าหญิง)
ยาจก (คนขอทาน)
อนาถา
ปราสาทวัง
วัดร้าง
เสาคอดยอดด้วน
เสวยราชย์
ยากจน, จรจัด
คนเดียวเที่ยวรำภา
ทหาร (คน)
หมา
เห่าหอน (ไล่)

คำศัพท์
คำตรงกันข้าม
คำคู่ตรงกันข้าม
อนาถา
สมบูรณ์พูนสุข
ระเด่น (เจ้าชายเจ้าหญิง)
เสาคอดยอดด้วน
มียอดสูงใหญ่
ปราสาทวัง
คนเดียวเที่ยวรำภา
มีข้าราชบริพารมาก
เสวยราชย์
เห่าหอน (ไล่)
รักษาพระองค์
ทหาร (คน)



๑๑) อรรถวิภาษ หรือปฏิทรรศน์ (Paradox) พาราด็อกซ์
อรรถวิภาษ ปฏิทรรศน์ หรือ ปรพากย์ คือ ความเปรียบคำขัดแย้งที่เข้าคู่กันได้ เป็นการเปรียบเทียบการใช้คำที่ดูเหมือนจะขัดแย้งกันแต่เมื่อพิจารณาความหมายลึกซึ้งโดยแท้จริงแล้วอาจเข้ากันได้  หรือนำมาเข้าคู่กันได้อย่างกลมกลืน เช่น
๐ เปลวควันเทียนริบหรี่กลับมีแสง  
เกิดจากแรงตั้งจิตอธิษฐาน
ดวงตาจึงมองเห็นธรรมสืบตำนาน
ดวงใจจึงเบิกบานแต่นั้นมา

(แสงเทียนแสงธรรม : เสมอ  กลิ่นประทุม)
ริบหรี่ กับ แสง มีความหมายตรงข้ามกันสิ้นเชิง ครั้นเมื่ออยู่ในประโยคเดียวกันก็มีเนื้อความเรื่องเดียวกัน
 โดยปฏิพจน์(Oxymoron) นั้นถือคำขัดแย้งเป็นสำคัญ ส่วนอรรถวิภาษ(Paradox) นั้นถือเนื้อความเป็นสำคัญ



   ๑๒) อุปมานิทัศน์ หรือ ปฏิรูปพจน์ (Allusion) อะลู' เชิน

เป็นการท้าวความและอ้างถึง การใช้เรื่องราวนิทานขนาดสั้นหรือขนาดยาวประกอบ ขยาย หรือแนะโดยนัยให้ผู้อ่านหรือผู้ฟังเข้าใจได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้งในแนวความคิด หลักธรรม หรือข้อควรปฏิบัติที่ผู้เขียนประสงค์จะสื่อไปยังผู้อ่านผู้ฟัง เช่น
๐ ได้เห็นปราชญ์ไซร้
เป็นสุข
อยู่ร่วมเรือนหายทุกข์
ค่ำเช้า
ผู้พาลสอนสั่งปลุก
ใจดั่ง พาลนา
ยลเยี้ยงนกแขกเต้า
ตกต้องมือโจร

(โคลงโลกนิติ)
เนื้อหา : โคลงโลกนิติบทนี้ยกตัวอย่าง ให้นิทานจากชาดกที่เล่าว่าวันหนึ่งพระราชาองค์หนึ่งไปเที่ยวป่าไปเจอนกแขกเต้า (นกแก้วชนิดหนึ่ง) สองตัวที่พูดภาษาคนได้แต่มีนิสัยต่างกัน
๑ นกแขกเต้าตัวแรกพูดแต่คำหยาบดุร้าย เรียกพวกโจรให้มาปล้นพระราชา
    (แต่โชคดีที่พวกโจรไม่อยู่)
๒ นกแขกเต้าตัวที่สองพูดจาอ่อนหวาน พูดจาดีจับพระราชา นกตัวนี้นิสัยน่ารักมาก
ภายหลังฤาษีที่เลี้ยงนกแขกเต้าตัวที่สองจึงเล่าให้พระราชาฟังว่า นกแขกเต้าทั้งสองเป็นพี่น้องกัน แต่นกแขกเต้าตัวแรกพวกโจรได้เอาไปเลี้ยงไว้จึงมีนิสัยดุร้ายหยาบช้าตามอย่างพวกโจร ส่วนนกแขกเต้าตัวที่สองนั้นฤาษีได้เก็บมาเลี้ยงไว้จึงทำให้มีความสุภาพเรียบร้อยน่ารัก
สาระสำคัญ : นิทานเรื่องนี้เป็นคติเตือนใจว่า คนเรานั้นจะมีนิสัยอย่างไรนั้นส่วนหนึ่งก็เป็นไปด้วยการเลือกคบสมาคมกับเพื่อน และการอบรมสั่งสอนจากพ่อแม่ หรือบุพการีผู้เลี้ยงดู


๑๓)  สมญานาม (designation) เดซิกเนชั่น
สาญานาม  หมายถึง  การตั้งชื่อใหม่ที่เหมาะสมกับลักษณะของสิ่งที่ต้องการสื่อ การเลือกสรรคำ  หรือกลุ่มคำที่เหมาะสมเพื่อนำสิ่งที่ต้องการสื่อ  การตั้งสมญานามมักจะเป็นการสื่อคำที่รับรู้กันเฉพาะคนในกลุ่ม
ตัวอย่าง

พันเนตรภูวนาถตั้ง
ระวัง ใดนา
สี่พักตร์แปดโสตฟัง 
อื่นอื้อ
กฤษณะเลอหลัง    
นาคหลับ ฤาพ่อ
สองพิโยคร่ำลื้อ 
เทพท้าวทำเมิน

             (นิราศนรินทร์)
พันเนตร คือ พระอีศวร หรือ พระอินทร์
สี่พักตร์แปดโสต คือ พระพรหม
กฤษณะ คือ พระนารายณ์
คำว่าพันเนตร หมายถึงมีพันตา หรือท้าวพันตาเป็นชื่อหนึ่งของพระอินทร์ แต่ในที่นี้น่าจะหมายถึงพระอีศวรซึ่งสามารถแสดงวิศวรูปได้มีหลายหน้า หลายตาเหมือนกัน เพราะในโองการแช่งน้ำ ก็บูชาเทพฮินดูสามองค์พร้อมกันคือ พระอีศวร พระนารายณ์ และพระพรหม การเรียกว่า พันเนตร จึงเป็นการตั้งชื่อให้สมญานามใหม่กับพระอีศวร (หรือพระอินทร์ก็ตาม)
สี่พักตรแปดโสต หมายถึงพระพรหม ซึ่งมีชื่อหนึ่งว่าท้าวจตุรพักตร์ แปลว่ามีสี่หน้า แต่การเรียกท่าวว่า “สี่พักตรแปดโสต” เป็นการให้สมญานามใหม่แก่พระพรหม เพราะไม่เคยมีใครเรียกว่า แปดโสต หรือแปดหูด้วย
กฤษณะ หมายถึง อวตารของพระนารายณ์ปางหนึ่ง แต่การที่ว่ากฤษณะเลอหลังนาคหลับ นั้นหมายถึงพระนารายณ์ ก็ถือว่าเป็นการเอาอวตารปางหนึ่งของพระนารายณ์มาเรียกพระนารายณ์เป็นการใช้สมญานามเหมือนกัน
                ส่วนเนื้อความที่อ้างถึง เทพเจ้าทั้งสามในศาสนาฮินดูนั้นอาจจะถือว่าเป็น “อุปมานิทัศน์” ด้วย


Refer to: point of view channel, https://youtu.be/OO4HWC_TouY

วรรณรูป Concrete Poetry คือบทกวีนิพนธ์ กลอนเปล่า คำหรือประโยคสื่ออารมณ์ที่ใช้เขียนออกมาในรูปแบบของภาพวาด ดังตัวอย่าง 

๑) ชนิดเป็นบทกวีเรียงเป็นภาพ







๒) ชนิดเป็นคำคมหรือประโยคเรียงเป็นภาพ

ทำดีให้สุจริต

รู้จักพอเพียง

จงเลิกทะเลาะกัน

เลิกเมาอำนาจ

ดอกไม้ใจ (คือ) สติ ปัญญา

สาวอีสานบ่ย่านงานหนัก

รู้รักสามัคคี



อย่าเห็นแก่ตัว

กิเลสการเมือง



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น