นางกัณณะกี ก็ดีใจจนหายป่วย และไม่โกรธสามีที่เคยทอดทิ้งตนแม้แต่น้อย ลุกขึ้นมาตอนรับหาข้าวปลาให้กิน จากนั้นนางได้นำกำไลเท้าของนางที่บรรจุเพชรพลอยซ่อนไว้ ซึ่งเป็นสมบัติชิ้นสุดท้ายของนางมอบให้สามีเอาไปขายเพื่อมาทำทุนการค้าใหม่เพื่อตั้งตัวอีกครั้ง ในขณะที่นางเฝ้ารอสามีด้วยความหวังที่จะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ด้วยความสุขกับสามีอีกครั้ง
โกวะลันสามีนางจึงเอากำไลเพียงข้างเดียวของนางก็เอาไปฝากขายให้กับช่างหลวงที่ตนรู้จัก ซึ่งได้รับกำไลของพระมเหสีมาซ่อมพอดี เนื่องจากกำไลเท้าของนางกัณณะกีภายนอกนั้นเหมือนของมเหสีของพระราชาทุกอย่าง ช่างหลวงจึงกล่าวหาว่า "โกวะลัน" ลักขโมยกำไลของพระมเหสี (เพื่อที่ช่างหลวงจะได้สามารถแอบเก็บกำไลของมเหสีไว้เอง) ทำให้โกวะลันถูกพระราชาสั่งให้นำตัวไปประหาร
เมื่อกัณณะกีรู้ข่าวก็รีบไปที่ลานประหารด้วยความตกใจ แต่ช้าไปแล้ว ก่อนตายโกวะลันขอให้นางกัณณะกีรีบตามตนไปอยู่ด้วยกันในโลกหน้า
ก่อนที่นางกัณณะกีจะตามไปจึงบุกเข้าวังไปเรียกร้องความเป็นธรรมกับพระราชา โดยถามว่าข้างในกำไลของมเหสีมีอะไร พระราชาบอกว่าเป็นไข่มุก แล้วก็เรียกร้องให้พระราชาหักกำไลทั้งสองของมเหสีออกดูพิสูจน์
ปรากฏว่ากำไลข้างหนึ่งของมเหสีหักออกมาเป็นไข่มุก อีกข้างหักออกมาเป็นเพชรพลอย และกัณณะกีก็หักกำไลของตนให้ดูว่าเป็นเพชรพลอยเหมือนกัน
ด้วยความเสียใจในความผิดของตนพระราชาแห่งราชวงศ์ปัณฑิยะที่บริสุทธิ์ยุติธรรม จึงหัวใจสลาย (หัวใจวาย) และสิ้นพระชนม์ลงในทันที เช่นเดียวกับมเหสีของพระองค์ที่รับไม่ได้กับการจากไปของพระสวามีสุดที่รักก็สิ้นพระชนม์ตามไปทันทีเช่นกัน
(ปล. กษัตริย์วงศ์นี้ในตำนานอินเดียใต้มีคุณธรรมสูงมาก แต่บางครั้งการติดสินความก็มีพลาดได้จากหลักฐานเท็จของคนพาล ทำให้บางพระองค์ยอมตัดมือของตนเองเพื่อรักษาสัตย์)
แต่นางกัณณะกียังไม่หายแค้นจึงสาปให้ไฟไหม้ทั้งเมืองโดยอธิษฐานขอให้คนชั่วร้ายตายลงในกองไฟให้หมด ให้เหลือรอดแต่คนดีเท่านั้น
............เมืองที่ไหม้นี้คือเมืองมะดูไรเก่าในรัฐทมิฬนาฑู ต่อมาหลังจากไฟไหม้ก็มีคนอพยพมาอยู่สร้างเมืองใหม่เรียกว่าเมืองมะดูไร (ใหม่) อีกเช่นกัน ในทางหลักฐานทางโบราณคดีอินเดียใต้เมืองมะดูไร สมัยโบราณเคยถูกไฟใหม่ครั้งใหญ่จริงเนื่องจากเป็นชุมชนที่มีคนอยู่หนาแน่นมาแต่ครั้งโบราณ ส่วนเรื่องนี้ก็อาจจะเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมาเพื่อรองรับกับเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ครั้งนั้นก็ได้
แต่อย่างไรก็ดีศิลัปปะธิการัม เป็นวรรณคดีประเภทมหากาพย์แต่โบราณในยุคพุทธศาสนาของอินเดียใต้ และนางกัณณะกี ปัจจุบันได้รับการนับถือว่าเป็นเจ้าแม่ศักดิ์สิทธิ์ตนหนึ่ง และคำว่ากัณณะกีเป็นสแลงสมัยก่อนเรียกสตรีที่โมโหร้าย อารมณ์รุนแรง
เคยคิดจะแปลเรื่องนี้เป็นภาษาไทย แต่คงต้องรอให้บ้านเมืองสงบกว่านี้ เพราะเรื่องนี้แรงมาก
กลัวว่าคนบางคนจะตีความออกมาในแง่ลบ เพราะไม่รู้วัฒนธรรมทมิฬ
และเพราะกัณณะกี คือตัวแทนแห่งการต่อสู้ระหว่างสตรีสามัญชน กับชนชั้นสูง
(เลือกวรรณกรรมแปลเพื่อสังคมไม่ใช่ชื่อเสียง).....สรุปที่ใดมีรักที่นั้นมีทุกข์...Good night
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น