วันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

โลกศาสตร์ของเมโสโปเตเมีย (Mesopotamian cosmology)




การกำเนิดโลก

ในข้อมูลจากตำนานแห่งการสร้างที่บันทึกไว้ของชาวสุเมเรียนแห่งนครอูรุค ได้กล่าวว่า แต่เดิมจักรวาลเต็มไปด้วยน้ำ และเทวีแห่งมหาสมุทรและพื้นน้ำนัมมู (नम्मू) ได้ให้กำเนิดเทวีกี (की) แผ่นดินและท้องฟ้าอัน (अन, अनु แห่งนครอูรุค Urak บางตำนานว่าเป็นตนเดียวกับเทพอะนุ หลานของเทวีนัมมู) ขึ้นแล้วเทพพี่น้องทั้งสองก็สมรสกันเองจนเกิดเทพแห่งสายลมเอนลิล (एनलिल) และเทพีแห่งสายลมใต้นินลิล (निंलिल)   ขึ้นวันหนึ่งเทพอันเกิดอยากแยกจากภรรยาคือพื้นดินเทวีกีจึงสั่งให้เทพสายลมเอนลิลทำให้แผ่นดินแยกห่างจากท้องฟ้าแล้วเทพอันก็สร้างสิ่งต่าง ๆ ขึ้นบนพื้นโลก (คล้ายเรื่องเทพเกป และนุตของอียิปต์ แต่เทพแห่งสายลมในตำนานอียิปต์เป็นพ่อของเทพเกปและนุต ไม่ใช่ลูก)

โดยต่อมาเทพแห่งสายลมเอนลิล (
एनलिल) เป็นเทพบิดาของดวงดาวต่าง ๆ เพราะได้สมรสกับเทพีนินลิล (निंलिल) แห่งสายลมใต้ ให้กำเนิดเทพแห่งดวงจันทร์นันนา/ซิน (นนฺนา नन्ना/ สิน सिन) ซึ่งได้แต่งงานกับเทพธิดาแห่งดวงจันทร์นินคัล (निंगल) แล้วให้กำเนิดพระอาทิตย์อุตุ ( 'उतु' Utu /ศัมสะ शम्स /ศะมัซ Shamash) ราชินีนรกเอเรซกิคัล (เอเรสฺกิคล एरेस्किगल) และดาวพระศุกร์หรือเทพีอินันนา (इनन्ना Inanna/ อิศตัร इश्तर ) ซึ่งต่อมาเป็นเทพสถิตในสวรรค์ชั้นแรกก่อนตกสวรรค์ไปอยู่ในนรก) ฯลฯ


ส่วนตำนานในสมัยหลังของชาวอัคคาเดียนได้เพิ่มเติมว่า เทวีนัมมูมหาสมุทรยังให้กำเนิดเทพมารดาอสูร หรือเทพีเทียมัต (ฏิยามอฏ 
टियामॅट) ซึ่งเป็นนางพญามังกร 5 เศียร และเทพบิดาอสูรอัปซู (อปฺสุ अप्सुเทพแห่งน้ำบาดาลที่เป็นน้ำจืดที่อยู่ใต้โลกโดยทั้งสองคือนางพญามังกรเทียแมทและเทพแห่งน้ำบาดาลอัปซูได้สมรสกันเองแล้วให้กำเนิดเทพอสูรและบรรพเทพต่าง ๆ ที่สำคัญคือ ลัคมู (Lachmu) และลัคคามู (Lachamu) เทพทั้งสองให้กำเนิดเทพบิดาอันซาร์ (Ansar) และเทพีคีซาร์ (Kisar) ขึ่งบรรพเทพทั้งสองให้กำเนิดอานู(अनुมหาเทพแห่งนภา (ต่อมาอยู่ในสวรรค์ชั้นสูงสุด) และเอีย (इया/เอนกี एन्कीเทพแห่งความรู้วิทยาการ ซึ่งเทพเอียและเทพมารดาแดมคีนา (Damkina) ให้กำเนิดจอมเทพแห่งแสงสว่างและการสร้างมัรดุก (मरदूकผู้ได้สร้างสร้างโลกและมวลมนุษย์ 


เทพอัปซูในการ์ตูนเรื่องเซนต์เซย่าภาคโอเมก้าเป็นเทพแห่งความมืดและเป็นเพศหญิง

สงครามพระเจ้า


ตำนานในมหากาพย์เอนูมาเอลิซ (Enuma Elish) ที่เขียนไว้ประมาณ 2,000 ปีก่อนคริสกาล เล่าว่าฝ่ายนางพญามังกรเทียแมทและเทพอสูรทั้งหลาย เป็นศัตรูกับเหล่าเทพซึ่งเป็นพี่น้องและลูกหลานของตนเอง เพราะเหล่าเทพอสูรไม่ชอบความมีระเบียบ (กฎหมายต่าง ๆ ) ที่พวกเหล่าเทพสร้างขึ้น ทั้งสองจึงได้รบกัน โดยเหล่าอสูรมีนางพญามังกรเทียแมท ย่าทวดเป็นจอมทัพ และได้เทพคิงกุ/คิงโก (กึคุ किंगु/Kingo) เทพอสูรบุตรแห่งนางพญามังกรเทียแมทเองมาเป็นแม่ทัพ ว่ากันว่าขณะที่นางพญามังกรเทียแมทว่างแผนกับเทพแห่งน้ำบาดาลอัปซูอยู่นั้นความลับรั่วไหลไปถึงเหล่าเทพทำให้เทพบิดาและวิทยาการเอีย (इया/เอนกิ एन्की) แอบมาลอบสังหารเทพบิดาอสูรอัปซูในขณะหลับ  ทำให้นางพญามังกรเทียแมทซึ่งเป็นเทพมารดาอสูรโกรธแค้นมาก (ขาดน้ำ?) จึงจัดทัพไปรบกับเหล่าทวยเทพ (บางตำนานว่าเทพบิดาอสูรอัปซูแค่ถูกปิดผนึกไว้ เหมือนปิดบ่อน้ำบาดาล? ทำให้ต่อมาเทพเอีย/เอนกิ กลายเป็นเทพแห่งน้ำบริสุทธิ์ด้วย)

โดยเหล่าทวยเทพได้มหาเทพแห่งแสงสว่างมัรดุก (मरदूकบุตรชายของเทพบิดาเออาและเทพมารดาแดมคีนาเป็นจอมทัพโดยในการสงครามฝ่ายเทพเป็นฝ่ายชนะ แล้วจอมเทพมัรดุกก็ประหารเทพมารดาอสูรเทียมัต (ฏิยามอฏ टियामॅट)  แล้วจอมเทพมาร์ดุกก็กลายเป็นผู้ปกครองของเหล่าทวยเทพ โดยเมื่อได้ฆ่าเทพมารดาอสูรมังกร 5 เศียรเทียแมทแล้ว มหาเทพมาร์ดุกใช้ศพของนางแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งใช้สร้างโลก และส่วนหนึ่งใช้สร้างสวรรค์ โดยเลือดของนางพญามังกรเทียแมทกลายเป็นก้อนเมฆ น้ำตาของนางก่อเกิดแม่น้ำไทกริสและยูเฟรติส และจอมเทพมาร์ดุกใช้เลือดของคิงกุแม่ทัพอสูรลูกของนางที่ไหลนองพื้นดินผสมกับโคลนจนกลายเป็นดินสีแดงสำหรับสร้างมนุษย์คนแรก


โดยบางตำนานก็ว่าพวกเทพอสูรทั้งหลายนั้นเป็นอมตะฆ่าไม่ได้แต่ถูกเหล่าเทพทำให้หลับไหลไปเท่านั้น ส่วนในสมัยต่อมาเทพบิดาเอีย หรือเอนคิ ก็ได้รับการยกว่าเป็นเทพแห่งพื้นพิภพ เทพแห่งน้ำ และเทพแห่งวิทยาการแทนที่เทพมารดาอสูรเทียเมด และเทพบิดาอสูรอัปซุ

พิภพต่าง ๆ

1. สวรรค์ศามู 

 โดยสวรรค์ศามู šamû แบ่งเป็นสามส่วนคือ 
1.1 ชั้นบนสุดเป็นที่อยู่แห่งมหาเทพแห่งนภาอะนุ
1.2 ชั้นที่สองเป็นที่อยู่แห่งเทพทั้งปวง 
1.3 ชั้นแรกที่ดวงดาวปรากฏ 

1.3.1 พระจันทร์ คือจันทรเทพนันนา/ซิน (นนฺนา नन्ना/ สิน सिन เป็นบุตรของเทพแห่งสายลมเอนลิล एनलिल กับเทวีสายลมใต้นินลิล निंलिल) ต่อมาได้แต่งงานกับนินกัล (निंगल ซึ่งเป็นบุตรีของเทพบิดาเอีย/เอนกี  Ea/Enki กับเทวีแห่งต้นกก Ningikuga /บางตำนานก็ว่าเป็นลูกของเทพแห่งสายลมนินลิล เมื่อนินกัลแต่งกับพระจันทร์จึงได้กลายเป็นจันทรเทวีคือชายาของพระจันทร์) แล้วทั้งสองได้ให้กำเนิด สุริยเทพอุตุ ('उतु' Utu /ศัมสะ शम्स /ศะมัซ Shamash) ราชินีนรกเอเรซกิคัล (เอเรสฺกิคล एरेस्किगल  และพระศุกร์หรือเทวีแห่งความรักและสงครามอินันนา (इनन्ना Inanna/ อิศตัร इश्तर ) 

1.3.2 พระอาทิตย์ คือสุริยเทพอุตุ ('उतु' Utu /ศัมสะ शम्स /ศะมัซ Shamash) เป็นบุตรของจันทรเทพนันนา/ซิน (นนฺนา नन्ना/ สิน सिन กับจันทรเทวีนินกัล (निंगल) ต่อมาได้สมรสกับน้องสาวคือราชินีนรกเอเรซกิคัล (เอเรสฺกิคล एरेस्किगल)  พระอาทิตย์ของเมโสโปเตเมียจึงเป็นลูกพระจันทร์ 

1.3.3 ดาวพระศุกร์ (morning star) คือเทวีแห่งความรักและสงครามอินันนาหรืออิซตาร์ (इनन्ना Inanna/ อิศตัร इश्तर  บุตรีแห่งเป็นบุตรของจันทรเทพนันนา/ซิน {นนฺนา नन्ना/ สิน सिन}  กับจันทรเทวีนินกัล निंगल บางตำนานว่าอินันนาเป็นลูกมหาเทพอะนุ {अनु }) 

แต่บางตำนานว่าดาวพระศุกร์คือเทวีแห่งการสื่อสารนินซุปุร (Ninshupur) ซึ่งเป็นเทพบริวารและเพื่อนสนิทของเทพีอินันนา (इनन्ना Inanna/ อิศตัร इश्तर )  ซึ่งต่อมาขอเป็นชายาตนหนึ่งของเทพบิดาเอีย (इया/เอนกี एन्की) เพื่อเป็นการอภัยโทษให้กับเทวีอินันนาที่ขโมยเมซ์ (เมซ Mes) ประกาศิตสวรรค์ในรูปของสิ่งวิเศษที่รวบรวมขึ้นโดยบรรพเทพนินลิล แล้วมอบให้แก่เทพบิดาเอนกีไป จนถูกไล่ไปสู่นรกพร้อมสามีคือเทพราชาคนเลี้ยงแกะแห่งนครอุรุก "ดุมุชี/" (दुमुजी/ตามมุช ताम्मूज) โดยในฐานเพื่อนและบริวารของเทวีอินันนา นินซุปุรจะเป็นเพศหญิง แต่ในกรณีที่เป็นเทพส่งสารของเทพแห่งท้องฟ้าอัน/อะนุ นินซุปุรจะเป็นชาย (เป็นชื่อตำแหน่ง หรือปรากฏเป็นเพศใดก็ได้ ? เป็นความซ้อนทับของตำนานโบราณ)


ภาพเทพแห่งดาวพระศุกร์ ดวงจันทร์ และพระอาทิตย์ของบาบิโลน
ยุค King Melishipak I (1186–1172 B.C.E.)
Refer to: https://www.newworldencyclopedia.org/entry/Sin_(mythology)


ซึ่งตำนานได้กล่าวว่า เทวีแห่งความรักอินันนา (इनन्ना Inanna/ อิศตัร इश्तर ) มีเทพสองตนต่อสู้เพื่อชิงนางเป็นชายาคือ เทพแห่งการทำนาเอนกิมดู Enkimdu ที่สุภาพอ่อนโยน และเทพราชาแห่งคนเลี้ยงแกะ "ดุมุชี/" (दुमुजी/ตามมุช ताम्मूज) ผู้ก้าวร้าวในศึกชิงนางดังกล่าว แต่เมื่อเทวีอินันนาต้องไปนรกเทพดูมาซีเป็นเพียงผู้เดียวที่ตามนางไป นางจึงยอมรับเทพดูมาซีในฐานะสามี

1.3.4 มีจักรราศีต่าง  ๆ เหมือนกับอียิปต์และกรีกแต่ตำนานความเป็นมาต่างกันไปตามอารยธรรมความเชื่อ

2. โลกมนุษย์


มหากาพย์กิลกาเมซ 

กิลกาเมซ (คิลฺคาเมศ गिल्गामेश) กษัตริย์ครึ่งเทพที่มีบทบาทมากที่สุดคือกิลกาเมซซึ่งเป็นบุตรของกษัตริย์แห่งนครอุรุก (उरूक) บุตรแห่งกษัตริย์ลุคาลบันดา (ลุคาลพํทา लुगालबंदा) กับเทวีนินซุน (นินฺสุน निन्सुन/รีมัต-นินซุน Rimat-Ninsun) เทพธิดาแห่งแกะ กิลกาเมซเป็นทรราชในวัยหนุ่ม วีรบุรุษในวัยกลางคน และมหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ในวัยชราแห่งนครอุรุก 


ภาพกิลกาเมซ
Refer to: https://www.crystalinks.com/sumergods1.html

เนื่องจากกิลกาเมซเป็นลูกมหากษัตริย์และเทวีนินซุนจึงมีความแข็งแกร่ง (เพราะมีความเป็นเทพ 2 ส่วน มนุษย์ 1 ส่วน) และอำนาจมากในนครอุรุก เมื่อได้เป็นพระราชาครองเมืองแล้ว ก็มัวเมาในอำนาจและกามารมณ์ โดยกิลกาเมซออกกฏว่าในคืนแรกของเจ้าสาวก่อนแต่งงานในนครอุรุคจะต้องเข้าหอกับพระองค์ในคืนแรกก่อน สร้างความโกรธแค้นให้กับชาวเมืองในนครอุรุก ที่ได้แต่สาปแช่งและขอให้พระเจ้าลงโทษกิลกาเมซ เนื่องจากกิลกาเมซมีอำนาจและความแข็งแกร่งของเทพมากจึงไม่มีใครกล้าเป็นศัตรู 


กิลกาเมซต่อสู้กับเอนคิดูในภาพยนตร์การ์ตูนญี่ปุ่น (Fate Grand Order - Moonlight Lostroom)
Refer to: https://www.youtube.com/watch?v=RpTMFttM4xg


มนุษย์กระทิง


เมื่อชาวเมืองเดือดร้อนและก็วิงวอนเทพเจ้าทั้งหลายให้ช่วยเหลือเป็นอันมาก เทพเจ้าทั้งหลายโดยการนำของมหาเทพแห่งท้องฟ้าอานู จึงคิดจะสร้างอมนุษย์ขึ้นมาตนหนึ่งเพื่อให้มากำจัดกิลกาเมซ ซึ่งก็คือเอนกิดู (एंकि-दू) ซึ่งมีลักษณะเหมือนมนุษย์ครึ่งกระทิงที่ทรงพลังมากพอจะกำจัดกิลกาเมซได้ โดยแต่แรกนั้นเอนกิดูอาศัยกับฝูงสัตว์ในป่า มีความเป็นมิตรกับสัตว์ทุกตัว และก็กลายเป็นผู้ปกป้องสัตว์ป่าเหล่านั้น ทำให้พวกนายพรานไม่สามารถเข้าไปล่าสัตว์ป่าได้  จึงไปขอร้องและจ้างหญิงงามเมืองผู้ศักดิ์สิทธิ์ (ปวิตฺร คณิกา पवित्र गणिका/ देवदासी เทวทาสี) ซัมฮัตผู้ทำหน้าที่ประจำในเทวสถานแห่งเหล่าโสเภณี (Temple prostitution) แห่งอุรุก ผู้มีความสามารถสูงในการให้ความสุขทางเพศต่อบุรุษ ไปหลับนอนและสมสู่กับมนุษย์กระทิงเอนคิดูถึงหกวันเจ็ดคืน จนเอนกิดูหมดสิ้นพลังและความป่าเถื่อน และฝูงสัตว์ทั้งหลายได้หนีหายจากเอนกิดูไปหมดแล้วนางซัมฮัตจึงพาเอนกิดูไปอยู่ในเมืองเรียนรู้การใช้ชีวิตอย่างมนุษย์ในฐานะคนเลี้ยงแกะ (ต้นตำนานเมาคลีลูกหมาป่า/ทาร์ซานเจ้าป่า ?) ทำให้พวกนายพรานสามารถเข้าไปล่าสัตว์ในป่าได้อีกครั้ง 

ต่อมาเมื่อกัลกาเมซจะไปงานแต่งงานเพื่อมีอะไรกับเจ้าสาวในคืนแรก เมื่อเอนกิดูรู้เข้าจึงเดินทางไปขัดขวางตามหน้าที่ที่ตนเคยได้รับมอบหมายจากพระเจ้า แต่ด้วยอำนาจและพลังของเอนกิดูอ่อนลงไปมากจากการที่นางซัมฮัตพาเอนกิดูมาใช้ชีวิตในเมือง กิลกาเมซจึงชนะเอนกิดูได้ แต่แล้วกิลกาเมซก็ชื่นชมในความแข็งแกร่งของเอนกิดูและขอเป็นเพื่อนกับเอนกิดู เพราะเทวีแห่งฝูงแกะ "นินซุน" พระมารดาของเขาเคยทำนายฝันว่าเขาจะได้พบกับนักรบผู้เก่งกล้าแล้วกลายเป็นเพื่อนของเขาเพื่อทำภารกิจที่สำคัญในอนาคต

เมื่อเอนกิดูเป็นเพื่อนและองครักษ์ของกิลกาเมซ เอนกิดูก็ใช้ความเป็นเพื่อนเปลี่ยนกษัตริย์ทรราชกิลกาเมซให้กลายเป็นกษัตริย์ที่ดีและที่รักของประชาชน  ซึ่งภารกิจที่สร้างชื่อเสียงให้กับกิลกาเมซที่เอนกิดูมีส่วนช่วยที่สำคัญได้แก่ 

1) การฆ่าอสูรกายผู้อารักษ์ป่าซีดาร์ของพระเจ้า "ฮัมบาบา" 
เพื่อยั่วให้อสูรกายร้ายโกรธทั้งสองได้พากันโค่นต้นซีดาร์ของพระเจ้าจนหมด แล้วก็ช่วยกันฆ่าอสูรกายฮัมบาบาผู้เฝ้าป่า แล้วก็ขนไม้ซีดาร์ทั้งหมดทำเป็นแพล่องผ่านแม่ยูเฟรตีสกลับนครอุรุก โดยการฆ่าอสูรกายในครั้งนี้ได้รับการช่วยเหลือจากสุริยเทพอุตุ ('उतु' Utu /ศัมสะ शम्स /ศะมัซ Shamash) ตามคำขอร้องของเทวีแห่งฝูงแกะนินซุน พระมารดาของกิลกาเมซ ก่อนถูกกัลกาเมซฆ่าอสูรกายฮัมบาบาได้ร้องขอชีวิตไว้ แต่เอนกิดูทูลให้กิลกาเมซฆ่าฮัมบาบาเพื่อสร้างเกียรติยศ ดังนั้นก่อนตายฮัมบาบาจึงสาปแช่งให้เอนกิดูมีอายุสั้น

2) การฆ่าพ่อโคสวรรค์
อย่างไรก็ตามในมหากาพย์กิลกาเมซ ว่าเมื่อกิลกาเมซกลายเป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่แล้ว ทำให้เทวีอินันนา (इनन्ना Inanna/ อิศตัร इश्तर ) มาขอแต่งงานกับกิลกาเมซ แต่กิลกาเมซก็ปฏิเสธ ทำให้นางโกรธแค้นเป็นอย่างมาก และนางต้องการแก้แค้นกิลกาเมซจึงไปขอร้องให้มหาเทพอะนุ (अनु)  ส่งวัวสวรรค์ (ราศีพฤกษภ) ลงมาอาละวาดในโลกมนุษย์เพื่อฆ่ากัลกาเมซ แต่ก็วัวสวรรค์ดังกล่าวก็ถูกกัลกาเมซ และเอนกิดู (Enkidu มนุษย์วัว) เพื่อนของกัลกาเมซช่วยกันฆ่า โดยเอนคิดูจับขาข้างหนึ่งของวัวฉีกทิ้งแล้วโยนให้เทวีอินันนาเพื่อแก้แค้นนาง (ซึ่งขาของวัวสวรรค์นี้เชื่อมโยงกับกลุ่มดาวน่องวัวของอียิปต์โบราณ เทียบได้กับนางอัปสร Pleiades ทั้ง 7 แห่งกลุ่มดาวลูกไก่ในราศีพฤกษภในดาราศาสตร์ของกรีก ที่ว่าคือกลุ่มดาวน่องวัวของเทพมารเซต เจ้าแห่งความวุ่นวายและสงครามของอียิปต์)

หลังจากทั้งสองได้ฆ่าพ่อโคสวรรค์ได้สร้างความโกรธแค้นให้กับเทวีแห่งความรักและสงคราม ดาวพระศุกร์อินันนา (इनन्ना Inanna/ อิศตัร इश्तर )  นางจึงเอาเรื่องนี้เข้าเทวสภา แล้วเทพทั้งหลายก็ลงความเห็นว่าจะต้องลงโทษทั้งสองที่ก่อเรื่องที่ไม่สมควรกับพระเจ้าด้วยการฆ่าอสูรกายอารักษ์ป่าซีดาร์ของพระเจ้า และพ่อโคสวรรค์ของมหาเทพสูงสุดอะนุ ดังนั้นเหล่าทวยเทพจึงลงความเห็นให้มอบความตายให้เอนคิดูเพื่อนรักของกิลกาเมซ แล้วพาวิญญาณของเอนกิดูไปนรกดังคำสาปของอสูรกายฮัมบาบา ทำให้ทั้งสองเพื่อนรักต้องจากกัน




น้ำท่วมโลก


ภายหลังเพื่อนรักมนุษย์วัวเอนกิดูตาย กิลกาเมซมีแต่ความโศกเศร้าและความกลัวที่มีต่อความตาย  จึงแล้วก็ครุ่นคิดถึงวิธีที่จะทำให้ตนเป็นอมตะ จัดตัดสินใจเดินทางไปหาอุตนาบิติมและภรรยามนุษย์คู่หนึ่งได้รับความเป็นอมตะจากพระเจ้าในสมัยที่เคยเกิดมีน้ำท่วมโลก

กล่าวคือสมัยหนึ่งเอนลิล (एनलिल) บรรพเทพแห่งสายลมได้ทูลต่อ มหาเทพอะนุ (अनु) และเทพทั้งปวงมองว่ามนุษย์ที่จอมเทพมัรดุก (मरदूक)  สร้างขึ้นจากเลือดของเทพอสูรคิงกุ (กึคุ किंगु) นั้นไร้ระเบียบและชั่วร้าย จึงตกลงกันว่าจะล้างโลกด้วยการทำให้น้ำท่วม แต่เทพบิดาเอีย (इया/เอนกี एन्की ได้แอบมาแกล้งพูดกับผนังบ้านอุตนาบีซติม (اوتنپیشتیم /أوتنابيشتيم Utnapishtim) เพื่อให้อุตนาบีซติมรู้ (เพื่อไม่ให้ผิดสัญญากับเทพทั้งหลายที่ว่าจะไม่เล่าให้สิ่งมีชีวิตใด ๆ) ต่อมาอุตนาบีซติมจึงสร้างเรือยักษ์ช่วยชีวิตตนเอง ภรรยา สรรพสัตว์ และพันธุ์พืชต่าง ๆ ไว้บนเรือนั้นที่ล่องอยู่ในพายุน้ำท่วมโลก 7 วัน 7 คืนจนไปติดที่ยอดเขานีมุชอีก 7 วัน 7 คืนจนน้ำลด แล้วเทพทั้งหลายก็ได้กลิ่นเครื่องสังเวยที่อุตนาบีติมถวายให้ จึงมาประชุมกันที่นั้น 

ซึ่งฝ่ายเทพทั้งหลาย โดยเฉพาะบรรพเทพแห่งสายลมนินลิล (एनलिल)  โกรธเทพบิดาเอีย (इया/เอนกี एन्की บางตำนานว่าเป็นน้องของนินลิล เป็นลูกของอานู บางตำนานก็ว่าเป็นอา คือเป็นน้องชายของมหาเทพอะนุ) ประกาศว่าเทพบิดาเอียเป็นผู้ทรยศ แล้วจับตัวอุตนาบีซติมและภรรยาไว้  เทพบิดาเอียจึงร้องขอความเมตตาจากบรรพเทพนินลิล เทพแห่งสายลมนินลิลจึงให้พรให้อุตนาบีซติมและภรรยาได้ความเป็นอมตะและกลายเป็นเทพ


เขาแห่งตะวันมาชู อาณาจักรแห่งราตรี และสุดขอบโลก 


โดยตำนานในสมัยนั้นเล่ากันว่า เมื่ออุตนาบิซติมกับภรรยาได้ความเป็นอมตะแล้วเป็นเทพแล้วได้ไปอาศัยในสุดขอบโลก ซึ่งเป็นดินแดนที่แม่น้ำทุกสายมาบรรจบกัน โดยการที่จะเดินทางไปที่นั้นกิลกาเมซต้องผจญกับภัยอันตรายต่าง ๆ ผ่านเขาแห่งตะวันมาชูซึ่งเป็นทางผ่านของพระอาทิตย์และมีแมงป่องยักษ์ (ราศีพิจิก ?) พูดได้เป็นเทพอารักษ์ ผ่านอาณาจักรแห่งความมืดยามราตรี ผ่านป่าอัญมณี และสุดท้ายมาพบกับที่บ้านพักริมทะเลของหญิงขายเหล้า (Alewife) นางสีดุรี (سيدوري Siduri สีดุรีแปลว่าหญิงสาวในภาษาฮูร์เรียน Hurrian) ซึ่งแนะนำให้ไปพบคนเรืออุร์ซานาบี (اورشانابی Urshanabi คือแครอน Charon คนแจวเรือส่งคนตายไปยมโลกในตำนานกรีก)  ผู้แนะนำวิธีเดินทางข้ามแม่น้ำแห่งความตายไปสู่ดินแดนที่อยู่ของอุตนาบิซตัม

เมื่อกิลกาเมซมาหาอุตนาบิซติมเพื่อขอความเป็นอมตะ อุตนาบิซติมได้ทำการทดสอบกิลกาเมซโดยให้อดนอน  1 สัปดาห์ (6 วัน 7 คืน) แล้วจะมอบความเป็นอมตะให้ แต่กิลกาเมซก็กลับนอนด้วยความเหนื่อยจากการเดินทาง เป็นเวลา  1 สัปดาห์ (6 วัน 7 คืน)  ทันทีเมื่อเริ่มต้นทดสอบ ภรรยาของอุตนาบิซติมจึงขอความเมตตา อุตนาบิซติมจึงแนะนำให้กิลกาเมซดำลงไปเอาต้นไม้วิเศษที่ทำให้กลับเป็นหนุ่มอีกครั้งใต้สมุทร แต่เมื่อได้มาแล้วกิลกาเมซกลับระแวงไม่กล้ากิน เก็บไว้ก่อนกะว่าจะนำไปทดสอบกับคนชราในเมืองถ้าได้ผลแล้วตนจึงจะกิน ระหว่างเดินทางกลับเมืองได้หลับไป แล้วก็มีงูตัวหนึ่งแอบมากินต้นไม้วิเศษนั้น ทำให้นับแต่นั้นมางูสามารถลอกคราบได้ ส่วนกิลกาเมซก็เดินทางกลับเมืองไปด้วยความเสียใจ และตัดใจเรื่องความเป็นอมตะได้ใช้ชีวิตด้วยการเป็นกษัตริย์ที่ดีแห่งนครอุรุกจนสิ้นพระชนม์

โดยต่อมาในสมัยหลังเรื่องราวอัตชีวประวัติของพระองค์กลายเป็นมหากาพย์กิลกาเมซ มหากาพย์ที่ยิ่งใหญ่ของโลกและส่งอิทธิพลถึงวรรณคดีต่าง ๆ ในหลาย ๆ ประเทศและอารยธรรม โดยเฉพาะเรื่องน้ำท่วมโลก

3. นรก

ความตายของเอนคิดู ก่อนที่เอนคิดูจะตายเขาได้ป่วยแล้วฝันเห็นนรก โดยในฝันเขาถูกอสูรร้ายลากตัวเขาลงไปกับพื้นนรก ซึ่งเป็นเคหาสน์แห่งฝุ่นทุลีอิร์คัลลา (Irkalla, the House of Dust.) ปกครองโดยราชินีแห่งนรกเอเรซกิคัล (เอเรสฺกิคล एरेस्किगल) และมีกองมงกุฎมากมายของบรรพกษัตริย์ทั้งหลาย พร้อมเสียงร้องโหยหวนของพวกเขา ก่อนตายเอนคิดูโทษนางซัมฮัตภรรยาที่พาตนมาอยู่ในเมืองทำให้มีอายุสั้นจึงสาปแช่งนาง นางจึงกล่าวว่าถึงแม้ว่าเอนกิดูจะมีอายุสั้นแต่ก็ได้ใช้ชีวิตคุ้มค่าเยี่ยงวีรชนแล้ว เอนคิดูจึงถอนคำสาปแช่งนาง แล้วเปลี่ยนเป็นอวยพรให้นางก่อนตาย เมื่อเอนกิดูตายกัลกาเมซก็เสียใจและกลัวตายมากจึงเดินทางไปขอความเป็นอมตะจากอุตนาบิซติม (اوتنپیشتیم /أوتنابيشتيم Utnapishtim) เมื่อต้นไม้แห่งวัยเยาว์ถูกงูขโมยกินไปแล้วก็กลับเมืองมาเป็นกษัตริย์ต่อไป ฯลฯ โดยในมหากาพย์กิลกาเมซที่จารึกอยู่ในแผ่นสุดท้ายวิญญาณของเอนกิดูได้มาเยี่ยมกิลกาเมซ เล่าเรื่องความโหดร้ายในนรก แล้วสัญญาว่าจะช่วยหาของวิเศษซึ่งเป็นกลอง (ปุกกุ Pukku) และไม้ตีกลอง (มิกกุ Mikku) ที่เทวีอินันนา (इनन्ना Inanna/ อิศตัร इश्तर )  เคยมอบให้กิลกาเมซแต่หายไปให้คืนกลับมา 


ภาพดาวพระศุกร์ อินันนา หรือเอเรซกิคัลราชินีนรก ปางเป็นราชินีแห่งราตรี 
เชื่อว่าเป็นต้นแบบของมารดาแห่งปีศาจลิลิธของชาวยิวและคริสต์
Refer to: https://sites.google.com/site/mesopotamiangods/home/inana--goddess-of-love










Refer to: https://calcifiedlies.wordpress.com/2014/05/05/syncromistory-part-i-brotherhood-of-the-snake-phoenicians-ancient-america-atlantis-star-gates-serpent-mound/


Refer to: https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/2/26/Genealogy_of_Sumero-Akkadian_Gods.jpg

เปรียบเทียบเทพสุเมเรียนกับอัคคาเดียน
No.
Sumerian
Akkadian
Their roles
1.
An/Anu
An/Anu
มหาเทพสูงสุดแห่งสวรรค์/ฟ้า
2.
Enki
Ea
เทพบิดาแห่งวิทยาการ
3.
Nanna
Sin
จันทรเทพ
4.
Utu
shamash
สุริยเทพ
5.
Inanna
Ishtar
พระศุกร์เทวีแห่งความรัก,สงคราม
6.
Dumuzi
Tammuz
เทพแห่งป่าและฝูงแกะ
7.
Asarluhhi
Marduk
จอมเทพผู้นำทัพสวรรค์
8.
Tiamat
Tamtu
แม่ธรณีและมารดาอสูร
9.
Abzu
Apsu
เทพแห่งน้ำบาดาล
10.
Ninsun
Sirtur
เทวีแห่งฝูงแกะ แม่กิลกาเมซ
11.
Girunuggal
Nerga /Erra (male)
ยมราชสามีราชินีแห่งนรก


บางตำนานสมัยหลังว่า Asarluhhi คือลูกชายของ Marduk



(สามารถกดอ่านได้จากลิงก์ที่เป็นข้อความด้านล่าง)

ประวัติศาสตร์อารยธรรมบาบิโลน


1 ความคิดเห็น:

  1. As claimed by Stanford Medical, It is really the ONLY reason this country's women live 10 years more and weigh on average 19 kilos lighter than we do.

    (By the way, it really has NOTHING to do with genetics or some secret exercise and absolutely EVERYTHING to related to "how" they are eating.)

    P.S, What I said is "HOW", and not "what"...

    TAP this link to discover if this short test can help you decipher your true weight loss potential

    ตอบลบ