วรรณกรรมไทยที่กล่าวถึงความเชื่อเรื่องจักรวาลและโลกนั้นมีมากมาย
เช่น โลกบัญญัติ อรุณวดีสูตร โลกทีปนี โลกทีปกสาร จักกวาฬทีปนี โลกสัณฐานโชตรณคัณฐี ไตรภูมิโลกวินิจฉัยของ
ร. ๑ และเฉลิมไตรภพ เป็นต้น แต่วรรณกรรมที่รู้จักเป็นที่แพร่หลายที่สุด คือ
ไตรภูมิพระร่วง และเรื่องรามเกียรติ์
แต่ก็มีคติความเชื่อที่มาจากคติชนพื้นบ้านของชาวไทยทางภาคเหนือและอีสาน
เช่นความเชื่อเรื่อง เมืองฟ้า เมืองลับแล และเมืองบาดาลของพวกนาค
แบบชาวอาเซียนเข้ามาปะปนอยู่บ้างเช่นกัน
🍎🍏🍎🍏🍎🍏🍎🍏🍎
ไตรภูมิพระร่วง
ไตรภูมิพระร่วงแต่งในสมัยสุโขทัยประมาณ พ.ศ. ๑๘๘๘ โดยพระราชดำริในพระยาลิไท
รวบรวมจากความเชื่อเรื่องจักวาลและโลกอย่างฮินดูที่มีแฝงอยู่ในคัมภีร์ในพระพุทธศาสนาต่าง
ๆ
ไตรภูมิพระร่วงเป็นวรรณกรรมที่มีเนื้อหากล่าวถึงโลกสัณฐาน หรือภูมิศาสตร์โลกโบราณ
ตามคติความเชื่อของชาวไทย ที่แบ่งเป็น ๓ ส่วน
หรือมี ๓๑ ภูมิ ได้แก่ กามภูมิ๑๑, รูปภูมิ๑๖ และอรูปภูมิ
๔ โดยในภูมิเหล่านี้เป็นที่ตั้งของ นรก สวรรค์ ทวีปทั้งสี่ (เช่น ชมพูทวีป ฯลฯ) ที่สิ่งมีชีวิตจะต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ตลอดไป
นอกจากนี้ไตรภูมิยังได้กล่าวถึง การอยู่อาศัย และการเกิดของมนุษย์ ทั้งระยะเวลากัปกัลป์ กลียุค การล้างโลก พระศรีอารย์ พระมหาจักรพรรดิราช แก้วเจ็ดประการ สัตว์นรก
เปรต อสุรกาย และเทวดา และลักษณ์วิบากกรรมของสัตว์แต่ละชนิดตามแนวคิดพื้นฐานของพุทธศาสนาด้วย
🐣🐣🐣🐣🐣🐣🐣🐣🐣🐣
สวรรค์และโลกต่าง ๆ
สรุปภูมิที่สำคัญในไตรภูมิได้แก่
๑ อรูปภูมิ ๔
|
อากาสานัญจา
ยตน ๑
|
วิญญานัญจา
ยตน ๑
|
อากิญจัญญา
ยตน ๑
|
เนวสัญญานาสัญญายตน ๑
|
|
๒ รูปภูมิ ๑๖
|
ปฐมฌาน ๓
|
ทุติยฌาน ๓ เช่น
-อาภัสสรา
|
ตติยฌาน ๓
|
จตุตถฌาน ๒
|
สุธาวาส ๕
เช่น
-อกนิฏฐา
|
๓ กามภูมิ ๑๑
|
อบายภูมิ ๔
- ดิรัจฉานภูมิ
- อสุรกายภูมิ
- เปรตภูมิ
- นิรยภูมิ
|
มนุษยภูมิ ๑
|
เทวภูมิ ๖
- ปรนิมิตวสวัตตี
- นิมมานรตี
- ดุสิตตา
- ยามา
- ดาวดึงสา
- จาตุมหาราชิกา
|
สวรรค์ชั้นพรหมรูปภูมิ
- อกนิฏฐาพรหม เป็นรูปภูมิชั้นสุดท้าย
- อาภัสสราพรหม เป็นที่อยู่ของพรหมที่จะลงมาอุบัติเป็นมนุษย์เมื่อถึงเวลาสร้างโลกใหม่
สวรรค์ชั้นเทวภูมิ
- ปรนิมิตวสวัสตี เป็นที่อยู่ของพระยามาร
- ดุสิตตา /ดุสิต เป็นที่อยู่ของพระศรีอารย์
- ดาวดึงสา เป็นที่อยู่ของพระอินทร์
- จตุมหาราชิกา เป็นที่อยู่ของท้าวจตุโลกบาล
มนุษยภูมิ
(ที่จุติของพระโพธิสัตว์ก่อนตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า)
อบายภูมิ
๔
- เดรัจฉาน เป็นที่อยู่ของพระยานาค และสัตว์หิมพานต์ ฯลฯ
- อสูรกายภูมิ เป็นที่อยู่ของพวกอสูร , ปีศาจ
- เปรตภูมิ เป็นที่อยู่ของผีขอส่วนบุญ
- นิรยภูมิ เป็นที่อยู่ของสัตว์นรก
ที่ตั้งเหล่านี้มีเขาพระสุเมรุเป็นหลัก
เขาพระสุเมรุนั้นตั้งอยู่ท่ามกลางจักรวาล มีทิวเขาและทะเลล้อม
ทิวเขามีชื่อต่างๆดังนี้
๑. ยุคนธร
๒. อิสินธร
๓. กรวิก
๔. สุทัศน์
๕. เนมินธร
๖. วินันตก
๗.อัศกรรณ
อัศกรรณ
ซึ่งเป็นเขารอบนอกสุด ทิวเขาเหล่านี้รวมเรียกว่าเขาสัตตบริภัณฑ์ ส่วนทะเลที่รายล้อมอยู่ ๗ ชั้น เรียกว่า มหานทีสีทันดร ถัดจากทิวเขาอัศกรรณออกมาเป็นมหาสมุทรอยู่ทั่วทุกด้าน
แล้วจะมีภูเขาเหล็กกั้นทะเลนี้ไว้รอบเรียกว่า ขอบจักรวาล
พ้นไปนอกนั้นเป็นนอกขอบจักรวาล
🐍🐍🐍🐍🐍🐍🐍🐍🐍🐍🐍🐍🐍🐍🐍🐍
บาดาลโลก
เมืองบาดาลทั้ง ๗ ของอินเดีย
๑) อะตะละ เป็นแดนกามวิตถาร ปกครองโดย “พละ”
ลูกชายของมายา อสูร (เจ้าแห่งวิศวกร หรือการช่างของพวกอสูร) บาละ ได้สร้างนางปีศาจไว้สามชนิด
ไว้สำหรับฆ่ามนุษย์ที่มาถึงแดนของตน คือ
๑ สไวริณีสฺ นางปีศาจที่ชอบแต่งงานมีชายหลายคนเป็นสามีของตนเอง
๒ กามิณีสฺ นางปีศาจที่ชอบนอนกับชายหลายคนที่เป็นสามีของคนอื่น
๓ ปุมฺศจะลีสฺ นางปีศาจที่ชอบเปลี่ยนคู่นอน
กับสามีภรรยาคู่อื่น
เมื่อมนุษย์ผู้ชายหลงเข้ามาในดินแดนของบาละ
นางปีศาจเหล่านี้จะหลอกให้ดื่มน้ำเมารสเลิศซึ่งเป็นยาเสพติด ทำให้ผู้ชายนั้นมีความต้องการทางเพศมากเหมือนช้างสิบเชือก
เพื่อจะได้มีเพศสัมพันธ์กับพวกเธอ ซึ่งจะทำให้ผู้ชายคนนั้นถึงแก่ความตายอย่างรวดเร็ว
ในขณะที่พวกเธอจะสวยและสาวยิ่งขึ้น
๒) วิตาละ เป็นดินแดน ปกครองโดย
พระหรภวะ ซึ่งเป็นอวตารของพระศิวะ ผู้อาศัยอยู่กับพระนางภวะนี และคณะ (เทพ)
ผู้เป็นอสูรร่างแคะ และเจ้าแห่งเหมืองทองคำ
เมื่อใดพระหรภวะและนางภวะนีรื่นเริงในความรัก ก็จะเกิดแม่น้ำ “หตกี”
น้ำจากแม่น้ำนี้เมื่อถูกไฟ ก็จะกลายเป็นทองชนิดหนึ่งที่เรียกว่า “หตกะ”
เมืองทั้งเมืองจึงถูกประดับไปด้วยทอง
(ใต้โลกมีทอง)
๓) สุตะละ เป็นดินแดน ปกครองโดย
มหาบาลี (ไทยเรียกเจ้ากรุงพาล) พระยาอสูรหลานของประหลาด ผู้ถูกพระนารายณ์ปางวามาวตาร
ขับไล่ลงมาอยู่ในเมืองบาดาล
๔) ตะลาตะละ เป็นดินแดน ปกครองโดย
มายาอสูร ผู้เป็นเจ้าแห่งวิศวกรรมและการช่างของพวกอสูร หลังจากที่พระศิวะ
อวตารปาง “ตรีปุรันตกะ” ทำลายเมืองตรีปุระ ที่มายาอสูรสร้างเพื่อขังพวกเทวดาไว้
มายา อสูรอ้อนวอนขอชีวิตพระองค์ไว้ พระศิวะจึงให้ มายา
อสูรมาอยู่ที่บาดาลโลกแห่งนี้
๕) มหาตะละ
เป็นดินแดนของพวกพระยานาคชั้นรองทั้งหลายที่โกรธง่าย ดุร้าย
ผู้ต้องเป็นอาหารของพญาครุฑ พระยานาคเหล่านี้เป็นลูกชายของกะทรู (Kadru ธิดาของท้าวทักษะ) ได้แก่ กุหกะ Kuhaka, ตักษะกะ Taksshaka,กาลิยะ Kaliya, สุเษนะ Sushena
(ใต้โลกมีงู)
๖) รสาตะละ เป็นดินแดนอสูรของพวก
ทนวัส หรือ แทตย์ (ลูกหลานของนางทิติ) คือ อสูรผู้ทรงพลังและดุร้าย
ผู้เป็นศัตรูกับเทวดา (ลูกหลานของนางอทิติ)
ทั้งหลายตลอดกาล อสูรพวกนี้บางตนมีร่างเป็นครึ่งงูและอาศัยอยู่ในรู แต่สตรีที่เป็นแทตย์บางตนก็สวยงามมาก
๗) นาคโลก
เป็นดินแดนของพวกพระยานาคชั้นสูง ปกครองโดยพระยานาคราช “วาสุกี” น้องชายของเศษนาค
(อนันตนาคราช)
ทั้งวาสุกีและนาคบริวารจะประดับไปด้วยดวงแก้ววิเศษบนพังพานงูหรือศีรษะ
แสงของดวงแก้ววิเศษนั้นจะส่องแสงทำให้อาณาจักรแห่งนี้สว่างไสวสวยงาม
(ใต้โลกมีเพชร)
ต่ำกว่าบาดาลโลกลงไปก็คือ “นรก”
บาดาลโลกของไทย ไม่ได้แบ่งเป็น ๗
ชั้นชัดเจนเหมือนอย่างอินเดีย
ตามความเชื่อเรื่องบาดาลโลกของไทยนั้น
บาดาลโลกเป็นที่อยู่อาศัยของอมนุษย์หลายจำพวก และผู้ทรงศีล เช่น
๑ พวกพระยานาค ในเรื่องรามเกียรติ์ เมื่อนางสีดาโกรธพระราม
พระแม่ธรณีช่วยพานางสีดาหนี พระรามไปอยู่เมืองบาดาลโดยไปฝากไว้กับพวกพระยานาค
๒ พวกบริวารของพญานาค ได้แก่ พวกผีพรายน้ำ นางเงือก สัตว์น้ำ
สัตว์เลื้อยคลาน สัตว์มีพิษและงูทั้งหลาย
๓ อสูร เช่นเมืองบาดาลของไมยราพ ยักษ์ในเรื่องรามเกียรติ์
ผู้ลักพาพระรามไปเมืองบาดาลและหนุมานตามไปช่วยมาได้ (น่าจะเป็นเมืองของพวกแทตย์
หรืออสูร คือ “รสาตาละ” ของอินเดีย) นอกจากนี้เรื่องของ มหาบาลี อสูร
ก็ปรากฏในวรรณกรรมไทยเรื่องนารายณ์สิบปาง ที่รู้จักในนามของ “เจ้ากรุงพาล”
ผู้ปกครองอสูรในเมืองบาดาล
๔ พระแม่ธรณี ในวรรณกรรมไทยโบราณบางเรื่องพระแม่ธรณีปรากฏกาย ขึ้นในเมืองบาดาลเพื่อช่วยเหลือพระเอก
๕ พระอรหันต์บางรูป เช่น พระอุปคุปต์ ซึ่งเป็นพระอรหันต์ผู้จำศีลอยู่ในบาดาลโลกตามความเชื่อของชาวไทยภาคเหนือ
อีสาน ลาวและประเทศพม่า
ตารางเปรียบเทียบความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องเมืองบาดาล
ของอินเดียและไทย
บาดาลโลกของอินเดีย
|
บาดาลโลกของไทย
|
|||
เมืองบาดาล
|
ผู้ปกครอง
|
ความสำคัญของเมือง
|
เมือง
|
ผู้อาศัย
|
๑) อะตะละ
|
พละ อสูร
|
แดนนางปีศาจกามวิตถาร
|
๑.บาดาลโลก
หรือนาคโลก
|
- พระยานาค
- บริวารนาค
เช่น ผีพราย
นางเงือก ฯลฯ
- อสูร
- พระแม่ธรณี
- พระอรหันต์
|
๒) วิตะละ
|
พระหรภวะ
|
แดนแห่งทองคำ
|
||
๓) สุตะละ
|
มหาบาลี
|
แดนของอสูร เจ้ากรุงพาลี
|
||
๔) ตะลาตะละ
|
มายา อสูร
|
แดนของอสูร มายา
|
||
๕) มหาตะละ
|
งูร้ายต่าง ๆ
|
แดนของงูร้าย
|
||
๖) รสาตะละ
|
พวกแทตย์
|
แดนของแทตย์ อสูรร้าย
|
||
๗) นาคโลก
|
พระยานาควาสุกี
|
แดนของพระยานาคชั้นสูง
|
||
นรก
|
พระยายมราช
|
แดนของสัตว์นรก
|
๒. นรก
|
สัตว์นรก
|
ที่มา https://ya-webdesign.com/image/ariel-vector-princess
💀💀💀💀💀💀💀💀💀💀💀💀💀💀💀
นรก ๘ ขุม
นรกภูมิ (那落迦) หรือเรียกโดยย่อว่า "นรก" มีชื่อเรียกหลายชื่อ เช่น นิรยะ
ยมโลก มฤตยูโลก ฯลฯ นรกคือ
ดินแดนหนึ่งซึ่งตามศาสนาพุทธเชื่อกันว่าผู้ทำบาปจะต้องไปเกิดและถูกลงโทษตามคำพิพากษาของพระยามัจจุราช
ตามจักรวาลวิทยาในศาสนาพุทธ นรกเป็นดินแดนหนึ่งซึ่งอยู่ใต้ชมพูทวีปหรือมนุษยโลกลงไป
และมีแปดชั้นหรือที่เรียกว่า "ขุม" สำหรับลงทัณฑ์ต่าง ๆ แก่สัตว์บาปที่ไปเกิด ประกอบไปด้วยมหานรก ๘ ขุม มีอุสสทนรกบริวาร อยู่รอบๆ ๔ ทิศ ๆ ละ ๔ ของมหานรกแต่ละขุม
๑๒๘ ขุม (๘X [๔x๔]) และยมโลกนรกน้อยย่อย ๆ อยู่รอบ ๔ ทิศๆ ละ ๑๐ ของมหานรกแต่ละขุม รวม ๓๒๐ ขุม
(๘X [๔x๑๐]) นรกจึงมีทั้งสิ้น ๔๕๖ ขุม(๘+๑๒๘+๓๒๐= ๔๕๖)
แต่ละขุมได้แก่
มหานรก (หรือนรกขุมใหญ่ ๘ ขุม)
ตารางแสดงนรก
๘ ขุมใหญ่ที่สัตว์นรกจะต้องทุกข์ทรมานมากเพราะทำกรรมไว้อย่างหนัก
มหานรก/ขุมที่
|
ชื่อบาลี
|
บาปที่ทำให้ตกนรก
|
(ปีที่ต้องอยู่นรก)
|
๑. นรกตายแล้วเกิดอีก
|
สัญชีวมหานรก
|
ฆ่าสัตว์, ทรมานสัตว์, และมนุษย์
|
๕๐๐
ปีนรก
|
๒. นรกคมด้ายดำ
|
กาฬสุตตมหานรก
|
ขโมย, ปล้น,
โกง,รังแกผู้น้อย
|
๑,๐๐๐ปีนรก
|
๓. นรกตีกระทบ
|
สังฆาฏมหานรก
|
เล่นชู้กับลูก, เมียผู้อื่น
|
๒,๐๐๐ ปีนรก
|
๔. นรกเสียงหวีดร้อง
|
โรรุวมหานรก
|
โกหก, พูดใส่ร้ายคนอื่น
|
๔,๐๐๐ ปีนรก
|
๕. นรกเสียงหวีดร้องหนัก
|
มหาโรรุวมหานรก
|
เสพยาเสพติด
|
๘,๐๐๐ ปีนรก
|
๖. นรกแห่งความร้อน
|
ตาปนมหานรก
|
เล่นพนัน
|
๑๖,๐๐๐ ปีนรก
|
๗. นรกความร้อนมาก
|
มหาตาปนมหานรก
|
มั่วกาม, ข่มขืน, เสพยา, เล่นพนัน ฯลฯ ทำความชั่วทุกอย่าง
|
ครึ่งเวลาของการเกิดขึ้น
และสิ้นไปของโลกมนุษย์
|
๘. นรกทุกข์มิขาดสาย
|
อเวจีมหานรก
|
ฆ่าพ่อ แม่ หรือผู้มีพระคุณ
|
เต็มเวลาของการเกิดขึ้น
และสิ้นไปของโลกมนุษย์
|
เปรียบเทียบวันเวลาในโลกมนุษย์
สวรรค์ชั้นที่ ๑ และสัญชีวะนรก
โลกมนุษย์
|
สวรรค์ชั้นที่ ๑ (จตุมหาราชิกา)
|
สัญชีวะนรก
|
๙ ล้านปี
|
๕๐๐ ปีสวรรค์
|
๑วัน
|
๒๗๐ ล้านปี
|
๑๕,๐๐๐ ปีสวรรค์
|
๑ เดือน
|
๓,๒๔๐ ล้านปี
|
๑๘๐,๐๐๐ ปีสวรรค์
|
๑ ปี
|
๑,๖๒๐ ล้านล้านปี
|
๙๐ ล้านปีสวรรค์
|
๕๐๐ ปี
|
ตารางแสดงวันเวลาในนรกแต่ละขุม
กับวันในโลกมนุษย์
มหานรก/ขุมที่
|
ชื่อบาลี
|
๑. นรกตายแล้วเกิดอีก (สัญชีวะมหานรก)
|
๑ วัน = ๙ ล้านปีมนุษย์
|
๒. นรกด้ายดำ (กาฬะสุตตะมหานรก)
|
๑ วัน = ๓๖ ล้านปีมนุษย์
|
๓. นรกตีกระทบ (สังฆาฏะมหานรก)
|
๑ วัน = ๑๔๕ ล้านปีมนุษย์
|
๔. นรกเสียงหวีดร้อง (โรรุวะมหานรก)
|
๑ วัน = ๕๗๖ ล้านปีมนุษย์
|
๕. นรกเสียงหวีดร้องหนัก (มหาโรรุวะมหานรก)
|
๑ วัน = ๒๓๐๔ ล้านปีมนุษย์
|
๖. นรกแห่งความร้อน (ตาปะนะมหานรก)
|
๑ วันนรก = ๙,๒๓๖ ล้านปีมนุษย์
|
๗. นรกความร้อนมาก (มหาตาปะนะมหานรก)
|
๑/๒ กัป (กัลป์)
|
๘. นรกทุกข์มิขาดสาย (อเวจีมหานรก)
|
๑ กัป (กัลป์)
|
หมายเหตุ ๑ กัป (กัลป์) หมายถึง
ระยะเวลายาวนานมาก
ตั้งแต่เวลาที่โลกของมนุษย์เกิดมีขึ้นถูกทำลายไปและเกิดมีขึ้นมาใหม่
เพราะเมื่อสิ้นกัปหนึ่ง ๆ เชื่อว่าจะมีไฟบรรลัยกัลป์ล้างโลก
ภาพพระมาลัย เยี่ยมดูมหานรก
๑. นรกตายแล้วเกิดอีก ("สัญชีวะนรก") :นรกขุมนี้มีผนังทำจากเหล็กร้อนกั้นรอบด้าน มองไปไม่เห็นขอบ
มีอาณาเขตไพศาลยิ่งนัก และทั่วบริเวณมีไฟลุกโชนหาที่ว่างเว้นมิได้เลย
ในไฟนรกนี้ปรากฏอาวุธต่าง ๆ เช่น หอก ดาบ มีด
สัตว์ในขุมนี้จะวิ่งพล่านอยู่บนไฟนรกดังกล่าว
เมื่อวิ่งแล้วก็กระทบกับอาวุธเหล่านั้นได้รับบาดเจ็บเป็นนักหนา
เมื่อถึงแก่ชีวิตก็ดี หรืออวัยวะขาดไปก็ดี
ร่างกายจะกลับมามีพลานามัยสมบูรณ์อีกครั้ง
เพื่อให้รับโทษในขุมนี้จนกว่าจะสิ้นโทษกรรม
๒. นรกด้ายดำ ("กาฬสุตนรก") : มีลักษณะเพิ่มเติมจากนรกขุมที่แล้วคือ
สัตว์ในขุมนี้จะถูกตีเส้นบนเนื้อตัวโดยนายนิรยบาลด้วยการนำเส้นเหล็กเผาไฟมานาบเป็นลายบนตัว
และจะถูกผ่า เลื่อย หรือตัดตามเส้นนั้น
๓. นรกตีกระทบ ("สังฆาฏะนรก") : มีลักษณะเพิ่มเติมจากนรกขุมที่แล้วคือ
นรกนี้จะห้อมล้อมไปด้วยภูเขาเหล็กลูกมหึมามีไฟลุกท่วมคอยกลิ้งเข้ากระทบกระแทกสัตว์นรกจนเหลวเป็นวุ้นเลือด
ผู้วิ่งหนีมิเข้าไปในระหว่างเขานี้จะถูกนายนิรยบาลไล่แทงไล่ฟันเป็นต้น
เมื่อตายแล้วก็กลับเป็นปรกติเพื่อรับโทษอีกครั้งเหมือนในขุมก่อน ๆ
๔. นรกเสียงหวีดร้อง ("โรรุวะนรก") : มีลักษณะเพิ่มเติมจากนรกขุมที่แล้วคือ
ใจกลางขุมมีเหล่าดอกบัวกลีบเป็นเหล็กมีไฟลุกโชน สัตว์นรกถูกบังคับให้ขึ้นไปอยู่ในดอกบัว กรรมทำให้สัตว์นรกยืนขึ้นแล้วก้มตัวลง กลีบบัวก็จะงับอวัยวะต่าง
ๆ เช่น ศีรษะ แขน และขา เป็นต้น เมื่องับไว้แล้วก็ไม่ปล่อย
ไฟจากบัวก็จะเผาผลาญสัตว์นั้นอยู่ตลอดเวลา สัตว์นรกเจ็บปวดทรมานส่งเสียงร้อง
๕. นรกเสียงหวีดร้องหนัก ("มหาโรรุวะนรก") : มีลักษณะเพิ่มเติมจากนรกขุมที่แล้วคือ เหล่าบัวมิได้มีแต่ในกลางขุม
แต่ขึ้นอยู่ทั่วไป และกลีบบัวนั้นเป็นกรด
ช่องว่างที่บัวมิได้งอกจะมีอาวุธลุกเป็นไฟ เช่น แหลน หลาว หอก เป็นต้น นายนิริยบาล่จะบังคับไล่แทงให้ขึ้นไปบนดอกบัว สัตว์นรกทั้งหลายร้อน ดิ้นทุรนทุรายไปกระทบกลีบบัว กลีบบัวบาดตัดร่างสัตว์นรกล่วงลงมา ถูกแหลนหลาวแทงรับไว้ เนื้อของสัตว์นรกร้อนลุกเป็นไฟหล่นลงสู่พื้น และมีสุนัขนรกคอยกัด แทะกินจนหมดสิ้น สัตว์นรกก็จะก่อร่างขึ้นใหม่ รับทุกขเวทนายิ่งกว่า
ร้องโหยหวนดังยิ่งกว่าขุนก่อน
๖. นรกแห่งความร้อน ("ตาปะนรก") : มีลักษณะเพิ่มเติมจากนรกขุมที่แล้วคือ นรกนี้มีไฟลุกท่วม ในไฟมีอาวุธ เช่น
หอก แหลน หลาว เป็นต้น คอยพุ่งเข้าทิ่มแทงสัตว์นรกขึ้นตั้งไว้ย่างไฟ
เมื่อเนื้อหนังมังสาของสัตว์นั้นกรอบหลุดร่วงลงมาจะยังให้สัตว์นั้นร่วงลงมาด้วย
ครั้นร่วงแล้วจะถูกสุนัขขนาดใหญ่เท่าช้างวิ่งเข้ามากัดทึ้งจนเหลือแต่กระดูก
สัตว์ใดหนีสุนัขได้จะถูกนายนิรยาลจับทิ่มหอกแล้วตั้งขึ้นย่างอีกครั้ง และเช่นเดิม
เมื่อตายแล้วจะลับมาสมบูรณ์เพื่อรับโทษใหม่อีกจนกว่าจะหมดโทษ
๗. นรกความร้อนมาก ("มหาตาปนรก") : มีลักษณะเพิ่มเติมจากนรกขุมที่แล้วคือ
ไฟนรกนั้นจะพุ่งซัดเข้ามาจากกำแพงนรกรอบด้าน
และใจกลางนรกก็จะมีภูเขาเหล็กลุกเป็นไฟ
เมื่อสัตว์นรกหนีไฟที่พุ่งมาโดยปีนขึ้นไปบนเขาก็จะถูกย่างสด
และเมื่อร่วงลงมาก็จะถูกอาวุธร้อนที่พุ่งขึ้นมาจากพื้นเสียบตัวตั้งไว้ย่างไฟอีกเหมือนนรกขุมที่แล้ว
๘. นรกทุกข์มิขาดสาย ("อเวจีมหานรก") : มีลักษณะเพิ่มเติมจากนรกขุมที่แล้วคือ นรกขุมนี้มีกำแพงหกด้านอยู่ขุมเดียว
โดยสัตว์นรกจะเคลื่อนไหวร่างกายมิได้เลยเพราะถูกอาวุธร้อนตรึงไว้กับพื้นหมดในท่ายืนกางแขนและขา
โดยมีไฟลุกท่วมย่างสัตว์นั้น นอกจากนี่ยังมีเตาเผาใหญ่ นายนิรยบาลจะจับสัตว์โยนลงไปย่างในเตานั้นด้วย
สภาพของมหานรก มีความร้อนแรงมาก
ไฟในมหานรกนั้นร้อนแรงกว่าในอุสสทนรกและยมโลกียโลกเป็นล้านๆ เท่า
ไฟในยมโลกียโลกยังมีสีสันคล้ายกับไฟในเมืองมนุษย์คือพอมองออก
แต่ไฟในมหานรกนั้นมีเปลวสีดำ ภพของมหานรกก็ใหญ่กว่า อายุของสัตว์นรกก็ยืนยาวกว่า
หากเปรียบเทียบกันแล้ว อุสสทนรกกับยมโลกียนรก
ทั้งสองเป็นสถานที่ที่มนุษย์ไปรับผลกรรมที่เป็นเศษกรรมเท่านั้น
แต่ในมหานรกนั้นคือส่วนเต็มๆ ของกรรม
อุสสทนรก
มหานรก/ขุมที่
|
ภาษาบาลี
|
บาปที่ทำให้ตกนรก
|
๑ นรกขุมขี้
|
คูถนรก
|
เศษกรรมจากนรกใหญ่ทั้ง ๘
|
๒ นรกขี้เถ้า
|
กุกกุฬนรก
|
เศษกรรมจากนรกขุมขี้
|
๓ นรกใบไม้ดาบ
|
อสิปัตตวนนรก
|
เศษกรรมจากนรกขุมขี้เถ้า
|
๔ นรกน้ำเค็ม
|
เวตรณีนรก
|
เศษกรรมจากนรกขุมใบไม้ดาบ
|
อุสสทนรก
เป็นนรกขุมบริวาร อยู่รอบๆ มหานรกขุมใหญ่ทั้ง ๔ ทิศ (รวม ๘ ขุม มี อุสสทนรก ๑๒๘ ขุม) สัตว์นรกที่ได้รับโทษในมหานรกทั้ง ๘ เมื่อหมดสิ้นกรรม
ไม่มีเศษกรรมร้ายติดตัวก็จะไปเกิดในภพภูมิอื่น แต่สำหรับสัตว์นรกที่ยังมีเศษกรรมติดตัว
จะถูกส่งตัวไปรับกรรมในอุสสทนรกต่อไป
- นรกขุมขี้ (คูถนรก )สัตว์นรก
ที่มาเกิดได้รับทุกขเวทนาอยู่ในนรกอุจจาระเน่า
โดยถูกหนอนกัดกินทั้งเนื้อและกระดูกตลอดจนอวัยวะภายในทั้งหมด
จนกว่าจะสิ้นกรรมชั่วของตน
- นรกขี้เถ้า (กุกกุฬนรก) สัตว์นรกที่มาเกิดได้รับทุกขเวทนา
โดยถูกเผาด้วยขี้เถ้าร้อนระอุ ร่างกายไหม้ยับย่อยละเอียดเป็นจุณ
จนกว่าจะสิ้นกรรมชั่วของตน
- นรกใบไม้ดาบ (อสิปัตตวนนรก )สัตว์นรกที่มาเกิดได้รับทุกข์จากป่าไม้ใบดาบ
เช่น ใบมะม่วงซึ่งกลายเป็นหอกดาบ และมีสุนัข แร้งคอยทรมานขบกัดกินเลือดเนื้อจนกว่าจะสิ้นกรรม
- นรกน้ำเค็ม (เวตรณีนรก) สัตว์นรกที่มาเกิดได้รับทุกข์จากน้ำเค็มแสบ
ที่มีเครื่องหวายหนามเหล็ก ใบกลีบบัวหลวงเหล็ก ตั้งอยู่กลางน้ำ ซึ่งคมเป็นกรด
มีเปลวไฟลุกโชนตลอดเวลาจนกว่าจะสิ้นกรรมชั่วของตน
- ยมโลกียนรก
ยมโลกียนรก
เป็นนรกขุมย่อยๆ อยู่รอบนอกของอุสสทนรก อยู่รอบ ๔ ทิศๆ ละ ๑๐ ของมหานรกแต่ละขุม รวมมี
๓๒๐ ขุม
มหานรก/ขุมที่
|
ภาษาบาลี
|
บาปที่ทำให้ตกนรก
|
๑ นรกกระทะเหล็ก
|
โลหะกุมภีนรก
|
ฆ่าสัตว์อย่างทรมานสัตว์
|
๒ นรกป่าไม้งิ้ว
|
สิมพลีนรก
|
เล่นชู้กับลูก, เมียผู้อื่น
|
๓ นรกเล็บเป็นดาบ
|
อสินะขะนรก
|
ปล้น, ขโมย, ฉกชิงวิ่งราว
|
๔ นรกน้ำทองแดง
|
ตามโพทะนรก
|
ดื่มสุราแล้วอาละวาดทำร้ายคนอื่น
|
๕ นรกก้อนเหล็กแดง
|
อโยคุฬะนรก
|
เป็นผีบุญ อ้างบุญหลอกเงินคนอื่น
|
๖ นรกภูเขาก้อนเนื้อ
|
ปิสสะกะปัพพะตะนรก
|
ฉ้อราษฎรบังหลวง,รังแกคนยาก
|
๗ นรกน้ำแกลบไฟ
|
ถุสะนะทีนรก
|
ทอนเงินไม่ครบ, ปลอมอาหารขาย ,ค้าขายทุจริต
|
๘ นรกน้ำกรดหนาว
|
สีตะโลสิตะนรก
|
แกล้งให้สัตว์จมน้ำตาย, ทำร้ายร่างกายคนอื่นทั้งทางกายและใจ
|
๙ นรกสุนัขไล่กัด
|
สุนขะนรก
|
ด่าว่า หรือพูดให้ร้ายพ่อแม่
ญาติผู้ใหญ่ และผู้มีคุณ
|
๑๐ นรกแผ่นศิลายนต์
|
ยันตะปาสาณะนรก
|
ทุบตีทำร้ายภรรยาหรือสามี และ ลูกๆ
อย่างไม่มีเหตุอันควร, นอกใจ
|
ไม่ระบุเวลาต้องโทษแน่นอน
ตามแต่เศษกรรมของแต่ละบุคคล แม้เป็นนรกที่วิญญาณทนทุกข์ไม่นานเท่านรกขุมใหญ่ก็ตาม
แต่เฉพาะนรกกระทะเหล็กขุมแรก เมื่อตกลงไปในนรกขุมนี้กว่าจะจมไปถึงก้นกระทะ ก็ประมาณ
๓๐,๐๐๐ปี กว่าจะผุดขึ้นมาก็ประมาณ ๓๐,๐๐๐ ปีของโลกมนุษย์
ยังไม่นับเวลาที่จะต้องโทษในนรกขุมนั้น
- นรกกระทะเหล็ก (โลหะกุมภีนรก) เป็นหม้อเหล็กขนาดใหญ่เท่าภูเขา เต็มไปด้วยโลหะเหลวแสบร้อนเดือดพล่านตลอดเวลา
สัตว์ที่เกิดต้องรับทุกข์ทั้งแสบทั้งร้อน เสวยทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัส
ถูกต้มเคี้ยวในหม้อเหล็กนรกนั้นจนกว่าจะสิ้นกรรมชั่วที่ตนได้ทำมา
- นรกป่าไม้งิ้ว (สิมพลีนรก) เต็มไปด้วยป่างิ้วนรก
มีหนามแหลมคมเป็นกรดยาวประมาณ ๓๖ องคุลี ลุกเป็นเปลวไฟแรงอยู่เสมอ
สัตว์นรกที่มาเกิดต้องรับทุกข์ทรมานจนสิ้นกรรมชั่วของตน
ภาพนรกต้นงิ้วสำหรับผีเจ้าชู้
👹 นรกเล็บเป็นดาบ (อสินะขะนรก) สัตว์นรกที่เกิดมามีรูปร่างแปลกพิกล เช่น
เล็บมือเล็บเท้าแหลมยาว กลับกลายเป็นอาวุธ หอก ดาบ จอบ เสียม สัตว์นรกเหล่านี้เหมือนคนบ้าวิกลจริต บ้างนั่ง บ้างยืน
เอาเล็บมือถากตะกุยเนื้อหนังของตนกินเป็นอาหารตลอดเวลา จนกว่าจะสิ้นกรรม บุพกรรม
เช่น เมื่อเป็นมนุษย์ชอบลักเล็กขโมยน้อย
ขโมยของในสถานที่สาธารณะและของที่เขาถวายแด่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
ภาพตัวละครในการ์ตูนฝรั่งที่ใช้เล็บเป็นอาวุธเหมือนผีในขุมเล็บดาบ
- นรกน้ำทองแดง (ตามโพทะนรก) มีหม้อเหล็กต้มน้ำทองแดงปนด้วยหินกรวด
ร้อนระอุตลอดเวลา สัตว์นรกที่มาเกิดต้องรับทุกข์ โดยการถูกกรอกด้วยน้ำทองแดง
และกรวดหินเข้าไปทางปาก จนกว่าจะสิ้นกรรม บุพกรรม
- นรกก้อนเหล็กแดง (อโยคุฬะนรก) เต็มไปด้วยก้อนเหล็กแดงเกลื่อนกลาดไปหมด อกุศลกรรมบันดาลสัตว์นรกที่มาเกิดเห็นก้อนเหล็กแดงเป็นอาหาร
เมื่อกินเข้าไปแล้วเหล็กแดงนั้นก็เผาไหม้ไส้พุง ได้รับทุกขเวทนาจนกว่าจะสิ้นกรรม
- นรกภูเขาก้อนเนื้อ (ปิสสะกะปัพพะตะนรก) มีหินใหญ่เท่าภูเขาใหญ่ ๔ ทิศ
เคลื่อนที่ได้ไม่หยุดหย่อน
กลิ้งไปมาบดขยี้สัตว์นรกที่มาเกิดให้บี้แบนกระดูกแตกป่นละเอียดจนตายกลายเป็นก้อนเนื้อ
แล้วฟื้นขึ้นมาอีก ถูกบดขยี้อีกจนตายเรื่อยไปจนสิ้นกรรมของตน บุพกรรม
- นรกน้ำกลายเป็นแกลบไฟ (ถุสะนะทีนรก) สัตว์นรกที่มาเกิดมีความกระหายน้ำมาก เมื่อพบแม่น้ำ
หรือสระน้ำมีน้ำใสสะอาดก็ดื่มกินเข้าไป อำนาจของกรรมบันดาล ให้น้ำนั้นกลายเป็นแกลบ
เป็นข้าวลีบลุกเป็นไฟเผาไหม้ท้องและลำไส้ เสวยทุกขเวทนาแสนสาหัส
จากกรรมชั่วที่ทำมา
- นรกน้ำกรดหนาวจัด (สีตะโลสิตะนรก) เต็มไปด้วยน้ำเย็นยะเยือก
เมื่อสัตว์นรกที่มาเกิดตกลงไปก็จะตายฟื้นขึ้นมาก็ถูกจับโยนลงไปอีกเรื่อยไปจนสิ้นกรรมชั่วของตน
บุพกรรม เช่น จับสัตว์เป็นๆ โยนลงในบ่อ ในเหว ในสระน้ำ หรือมัดสัตว์เป็นๆ
ทิ้งน้ำให้จมน้ำตาย หรือทำให้เพื่อนมนุษย์ด้วยกันได้รับความทุกข์
- นรกสุนัขไล่กัด (สุนขะนรก) เต็มไปด้วยสุนัขนรก เช่น หมานรกดำ หมานรกเหลือง
หมานรกแดง และยังมีฝูงแร้งกา นกตะกรุม ฯ สัตว์นรกที่เกิดในขุมนี้จะถูกสุนัข แร้ง กา
ไล่ขบกัด ตรงลูกตา ปากและส่วนต่างๆ ได้รับทุกขเวทนาจากผลกรรมชั่วทางวจีทุจริต
- นรกแผ่นศิลายนต์ หรือเขากระทบกัน (ยันตะปาสาณะนรก) มีภูเขาประหลาด ๒ ลูก เคลื่อนกระทบกันตลอดเวลา
สัตว์นรกที่มาเกิดจะถูกภูเขาบีบกระแทก ได้รับทุกขเวทนาแสนสาหัส
ตายแล้วก็กลับเป็นขึ้นมา จนกว่าจะสิ้นกรรมชั่วของตน
นรกขุมลึก (ที่หนาวเย็น - โลกันตนรก)
โลกันตนรก
เป็นนรกขุมใหญ่พิเศษซึ่งอยู่นอกจักรวาล มืดมนไม่มีแสง มองไม่เห็นอะไรเลยและเต็มไปด้วยทะเลน้ำกรดเย็น
ที่ตั้งอยู่ระหว่างโลกจักรวาล ๓ โลก เหมือนกับวงกลม ๓ วงติดกัน
บริเวณช่องว่างของวงทั้ง ๓ สัตว์นรกที่มาเกิดจะมีรูปร่างสูงใหญ่และมีกงเล็บแหลมคมมักจะห้อยหัวจากเพดานเหมือนคางค้าว
ด้วยการมองอะไรไม่เห็นเพราะความมืดสนิททำให้สัตว์นรกต้องไต่ไปมาอย่างไร้จุดหมาย
และมีจำนวนมาก ถ้าสัตว์นรกไปเจอสัตว์นรกด้วยกันเองก็จะคิดว่าเป็นอาหารก็จะเข้าต่อสู้กันเพื่อหมายจะจับกันกินเป็นอาหาร
เมื่อสัตว์นรกได้ตกลงไปในทะเลน้ำกรด น้ำกรดก็จะกัดร่างกายจนแหลกเหลวและได้รับความเจ็บปวดทรมานอย่างมาก
แต่ไม่ตายเสียทีเดียวก็จะเกิดขึ้นมาใหม่และมาห้อยหัวบนเพดานเหมือนเดิมและต้องคอยเสาะหาอาหารต่อไป
สัตว์นรกที่มาเกิดต้องรับทุกขเวทนาเป็นเวลา ๑ พุทธันดร จากผลกรรมชั่ว เช่น ทรมานประทุษร้ายต่อพ่อและแม่ ผู้มีพระคุณ ครูอาจารย์
คนดีและผู้บริสุทธิ์ ทำปาณาติบาตเป็นอาจิณ หรือ ฆ่าตัวตาย เป็นต้น
โลกันตนรกจะเป็นนรกขุมใหญ่ที่มืดมนไม่มีแสงเลย
แต่จะมีแสงสว่างเกิดขึ้นบางครั้ง เมื่อมีเหตุการณ์ครั้งสำคัญ ๕ ประการ ได้แก่
๑. เมื่อพระโพธิสัตว์ทรงปฏิสนธิในครรภ์พระมารดา
๒. เมื่อพระโพธิสัตว์ประสูติ
๒. เมื่อพระโพธิสัตว์ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
๔. เมื่อพระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมเทศนาเรื่องธัมมจักรกัปปวัตนสูตร
(ธรรมจักร)
๕. เมื่อพระพุทธเจ้าทรงเสด็จปรินิพพาน
รูป โลกันตนรก
|
Zombie army in snow land from the USA game of thrones series |
ปล. พระมาลัยไม่ได้มีแต่ในพุทธศาสนาเถรวาทเท่านั้น จีนคือพระกิติครรภะโพธิสัตว์หรือพระตี้จั้ง ญี่ปุ่นพระจีโซโบซัตซุ แค่ชื่อไม่เหมือนกัน แต่ที่มาและบทบาทในวรรณกรรมพุทธศาสนาเหมือนกัน เพราะเปลี่ยนไปตรมความเชื่อในแต่ละท้องถิ่น
พระมาลัยคำหลวง
บทสวดพระมาลัยจีน
👽👽👽👽👽👽👽👽👽👽👽👽👽👽👽👽
เปรต หรือผีเปรต
เปรตเป็นอมนุษย์อีกจำพวกหนึ่งที่มีทุกข์มากรองจากสัตว์นรก
สัตว์นรกเป็นทุกข์เพราะถูกทรมาน ส่วนเปรตส่วนใหญ่เป็นทุกข์เพราะความหิวกระหาย
ผู้ที่ทำกรรมชั่วไว้มากเมื่อรับโทษทัณฑ์จากนรกแล้วก็ต้องมารับกรรมต่อเป็นเกิดเป็นเปรต
หรือคนบางพวกตายแล้วก็อาจจะมาเกิดเป็นเปรตเลยก็มี
ที่อยู่ของเปรตเรียกว่าเปรตภูมิ หรือเปตติวิสยะภูมิ
บางพวกมีวิมานเป็นที่อยู่ แต่ก็มีเปรตอีกจำนวนมากที่เร่ร่อนไปตามป่า ภูเขา เหว
เกาะ ทะเล และป่าช้า
๑ เกิดในครรภ์
๒ เกิดในไข่
๓ เกิดในเถ้าไคล
๔ เกิดโดยการอุบัติขึ้น
เป็นโอปปาติกะ
ประเภทของเปรต
เปรตมีมากมายหลายจำพวก รูปร่างน่าเกลียดก็มี
รูปร่างสวยงามก็มี ขนาดเล็กก็มี ขนาดใหญ่ก็มี เปรตบางพวกสูงเท่ามนุษย์ บางพวกตัวสูงถึง
๖๐ โยชน์ เปรตบางพวกตัวผอมเหมือนกิ่งไม้แห้ง มีลักษณะต่าง ๆ กันไป สามารถแบ่งได้เป็น
๔ จำพวกบ้าง ๑๒ จำพวก หรือ ๒๑ บ้าง แต่ในที่นี้ขอกล่าวเพียง
เปรตมี ๔ จำพวก คือ
๑. เปรตขอส่วนบุญ (ปรทัตตุปชีวิกเปรต)
เป็นเปรตที่เลี้ยงชีวิตอยู่โดยอาศัยอาหารที่ผู้อื่นอุทิศและเซ่นไหว้ให้
๒. เปรตหิวขอส่วนบุญไม่ได้ (ขุปปีปาสิกเปรต เป็นเปรตที่อดอยาก หิวข้าว
หิวน้ำ อยู่เป็นนิจ แต่กินอะไรไม่ได้ ใครอุทิศอะไรให้ก็ไม่ได้รับ)
๓. เปรตไฟท่วมตัว (นิชฌามตัณหิกเปรต)
เป็นเปรตที่ถูกไฟเผาให้เร่าร้อนอยู่เสมอนอกจากนี้ยังมีเปรตที่มีความสำคัญในวรรณกรรมไทยเช่น
- เปรตกินอุจจาระ (คูถขาทกเปรต)
- เปรตจมอยู่ในอุจจาระ (คูถกูปนิมุคคเปรต)
- เปรตมีปากเท่ารูเข็ม (สุจิมุขเปรต)
- เปรตหิวข้าวหิวน้ำอยู่เสมอ (ตัณหัฏฏิตเปรต)
- เปรตตัวสูงใหญ่ เช่น เปรตร่างกายสูงใหญ่เท่าภูเขา (ปัพพตังคเปรต) และเปรตมีอัณฑะใหญ่(กุมภัณฑเปรต)
- เปรตที่มีฤทธิ์มาก (มหิทธิกเปรต)
โดยเปรตพวกนี้ทั้งหมดมี
“มหิทธิกเปรต” ซึ่งเป็นเปรตที่มีฤทธิ์มาก ที่อยู่เชิงภูเขาหิมาลัยในป่าวิฌาฏวีเป็นผู้ปกครองดูแล
เปรตมีอิทธิพลกับความเชื่อและประเพณีการทำบุญของไทยมาก
เพราะคนไทยเชื่อว่าถ้าญาติของตนตายไปแล้วไปเกิดเป็นเปรตเพราะกรรมต่าง ๆ ที่ทำไว้
ก็ต้องเป็นหน้าที่ของลูกหลานที่จะต้องอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลไปให้ จนเกิดสำนวนไทยว่า
😈 เปรตขอส่วนบุญ
หมายถึงพวกที่ชอบขอสิ่งของจากผู้อื่น
👽 สูงเหมือนเปรต
หมายถึงผู้ที่สูงมากเกินไปจนรูปร่างดูไม่งาม
👽 ผอมเหมือนเปรต หมายถึงผู้ที่ผอมเกินไปจนรูปร่างดูไม่งาม
👹 พวกเปรตอสูร (เปตติอสุรา) เป็นครึ่งเปรตครึ่งอสูร
เช่น
๑ เปรตอสุรกาย (กาลกัญจิกเปรต) เป็นเปรตในจำพวกอสุรกาย หรือ
เป็นชื่อของอสุราที่เป็นเปรต มีร่างกายสูงใหญ่ ปากเท่ารูเข็ม ตาโปน
ถือว่าเปรตชนิดนี้คือ “อสุรกาย”ด้วย
๒ เปรตมีวิมานอยู่ (เวมานิกเปรต) คือเปรตที่บางเวลาเป็นเปรตหิวโหย บางเวลาเป็นเทพรูปงามมีวิมานอยู่
ถือว่าเป็นครึ่งเปรตครึ่งอสูร
๓ เปรตที่มีอาวุธ (อาวุธิกเปรตอสุรา)
เป็นเปรตที่ประหัตประหารกันและกันด้วยอาวุธต่างๆ
หมายเหตุ พวกเปรตอสุรกาย (กาลกัญจิกเปรต)
นี้เป็นเปรตชนิดหนึ่งในความคิดของคนในสังคมไทยปัจจุบัน
ภาพ ผีเปรต (饿鬼 è guǐ, Hungry ghost)
👹👹👹👹👹👹👹👹👹👹👹👹👹
อสุรภูมิ
อสุรภูมิอันเป็นที่อยู่ของสัตว์อันปราศจากความเป็นอิสระและสนุกรื่นเริง
ส่วนคำว่าอสูรกาย แต่เดิมหมายถึง เปรตอสุรกาย (กาลกัญจิกเปรต) เท่านั้นแต่หากจำแนกย่อยลงสำหรับอสูรภูมิแล้วก็สามารถแบ่งเป็น
๒ จำพวก คือ ๑ เทวอสุรา และ ๒ นิรยอสุรา ถ้านับพวกเปรตอสูร (เปตติอสุรา)
ที่เป็นครึ่งเปรตครึ่งอสูรด้วยก็เป็น ๓ ประเภท แต่ในที่นี้จะกล่าวถึงแค่ ๒
จำพวกเท่านั้น เพราะเปรตอสูรได้กล่าวไว้แล้ว
๑ เทวอสุรา มี ๒ จำพวก คือ
๑.๒ ศัตรูพวกเทวดา มีห้าจำพวกได้แก่
๑ เวปจิตติอสุรา ๒ สุพลิอสุรา ๓ ราหุอสุรา ๔ ปหารอสุรา และ ๕ สัมพรตีอสุรา พวกนี้เป็นศัตรูต่อเทวดาชั้นดาวดึงส์
อยู่ในพิภพอสูรใต้ภูเขาสิเนรุ มีฤทธิ์อำนาจพอ ๆ กับเทวดาชั้นดาวดึงส์
๑.๒ บริวารพระภูมิเจ้าที่ (วินิปาติกอสุรา) มีรูปร่างสัณฐานเล็กกว่า และอำนาจน้อยกว่าเทวดาชั้นดาวดึงส์
เที่ยวอาศัยอยู่ในมนุษย์โลกทั่วไป เช่น ตามป่า ตามเขา และศาลที่เขาปลูกไว้
ซึ่งเป็นที่อยู่ของพระภูมิเจ้าที่ทั้งหลาย (ภุมมัฏฐเทวดา) แต่เป็นเพียงบริวารของพระภูมิเจ้าที่เท่านั้น
(ภุมมัฏฐเทวดา) ถือว่า วินิปาติกอสูรา เป็นพวกเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกา
๒. นิรยอสุรา
เป็นเปรตหรือสัตว์นรกจำพวกหนึ่งที่เสวยทุกขเวทนาอยู่ในนรกโลกกันตร์
นรกโลกกันตร์นั้นตั้งอยู่ระหว่างกลางของจักรวาลทั้งสาม
มารในใจท่าพันอาซู่ราของตัวละครโซโร เรื่องวันพีช
|
จินนี่หรือญิน ปีศาจที่ถูกขังในตะเกียง
|
As stated by Stanford Medical, It's really the SINGLE reason women in this country live 10 years longer and weigh an average of 19 KG lighter than us.
ตอบลบ(By the way, it is not related to genetics or some secret exercise and really, EVERYTHING to do with "HOW" they are eating.)
BTW, I said "HOW", not "what"...
Click this link to uncover if this little questionnaire can help you find out your true weight loss possibilities