ในสมัยพุทธกาล พระราชาองค์หนึ่งพระนามว่าพระเจ้าปายาสิ ผู้ครองเมืองเสตัพยะ พระองค์ทรงสงสัยอย่างมากว่าคนเราตายแล้วสูญหรือไม่ จึงได้ทำการศึกษาทดลองมากมาย สุดท้ายจึงได้ข้อสรุปว่าตายแล้วสูญ ไม่มีการเกิดใหม่ ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิดอีก พระองค์ทรงเชื่ออย่างนั้นเรื่อยมา จนกระทั่งวันหนึ่งพระองค์ได้พบพระอรหันต์ คือพระกุมารกัสสปะ จึงทรงเข้าไปสอบถาม เพราะคิดว่าคำสอนเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด ที่มีอยู่ในพระพุทธศาสนานั้นเป็นคำสอนที่ผิด
๑.ทดลองสั่งให้นักโทษประหารใกล้ตายกลับมาหา (ผิดจริยธรรมเพราะอาจสร้างความไม่สบายใจ หรือทำร้ายจิตใจผู้ที่ใกล้ตาย และญาติ)
พระองค์ทรงประกาศกับพระกุมารกัสสปะว่า ตายแล้วสูญไม่มีการเวียนว่ายตายเกิดอีก พระกุมารกัสสปะทูลถามว่า เพราะเหตุใดจึงทรงเชื่อเช่นนั้น พระเจ้าปายาสิตรัสเล่าถึงการทดลอง ของพระองค์ที่ทรงทำการทดลองในนักโทษประหารว่า ก่อนที่จะประหารนักโทษพระองค์สั่งนักโทษนั้นว่า เมื่อตายแล้วให้กลับมาบอกด้วยว่า ชีวิตหลังความตายเป็นอย่างไร นอกจากนี้ยังทรงทดลองในคนเจ็บป่วยใกล้ตายโดยพระองค์จะทรงสั่งคนที่เจ็บป่วยไว้ว่า เมื่อตายไปแล้วหากชีวิตหลังความตายมีจริง ให้ช่วยมาบอกพระองค์ด้วยเช่นกัน แต่แล้วทุกคน ไม่ว่าจะเป็นนักโทษประหารหรือคนเจ็บ เมื่อตายแล้วก็เงียบหายไป ไม่มีใครกลับมาเลย พระองค์จึงเห็นว่าชีวิตหลังความตายไม่มี
ได้ยินดังนั้น พระกุมารกัสสปะจึงทูลถามกลับไปว่า หากมีโจรคนหนึ่งได้ทำความผิดไว้ แล้วจะเดินทางเข้าไปในเมืองหากญาติบอกกับเขาว่า เมื่อเข้าเมืองได้แล้วให้ส่งข่าวมาด้วย ครั้นเขาเข้าเมืองไปแล้วถูกจับขังคุก เขาจะส่งข่าวได้ไหม พระราชาตอบว่า ไม่ได้ พระกุมารกัสสปะจึงอธิบายว่า เช่นเดียวกันกับคนที่ประพฤติชั่ว เมื่อถึงคราวตายไปก็ต้องตกนรกลงอบาย แม้อยากจะกลับมาบอกข่าวใครก็มาไม่ได้ เพราะวิบากกรรมที่เป็นอกุศลดึงไปสู่อบายภูมิเสียแล้ว
๒.ทดลองสั่งให้คนดีที่ตายไปแล้วกลับมาหา (ผิดจริยธรรมเพราะอาจทำร้ายจิตใจผู้ที่ใกล้ตาย และญาติ)
พระราชาแย้งว่าพระองค์ก็เคยทำการทดลองนี้กับคนดีมีศีลธรรมเช่นกัน โดยสั่งไว้ว่าถ้าชีวิตหลังความตายมีจริง ตายแล้วไปสวรรค์จริง จงช่วยมาบอกด้วย แต่แล้วก็หายเงียบไปทุกคน ไม่เห็นมีใครกลับมาบอกเลย พระกุมารกัสสปะจึงทูลอธิบายว่า ธรรมดาของเทวดานั้นมีความรู้สึกว่ามนุษย์มีกลิ่นเหม็นเหมือนกลิ่นอุจจาระปัสสาวะ เทวดาย่อมไม่อยากเข้าใกล้มนุษย์ พระเจ้าปายาสิรับสั่งว่า ในบรรดาคนที่ตายไปแล้วนั้นมีหลายๆคนมีคนที่พระองค์ทรงคุ้นเคยรักใคร่ ดังนั้นแม้ว่าจะเหม็นเพียงไร เขาก็น่าจะกลั้นใจกลับมาบอกพระองค์บ้างสักนิดหนึ่งก็ยังดี
พระกุมารกัสสปะจึงทูลอธิบายเกี่ยวกับเรื่องเวลา ว่าเวลาบนสวรรค์กับเวลาบนโลกมนุษย์ไม่เท่ากัน วันหนึ่งคืนหนึ่งบนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา เทียบกับ 50 ปีบนโลกมนุษย์ วันหนึ่งคืนหนึ่งบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เทียบเท่ากับ 100 ปีบนโลกมนุษย์ เมื่อเทพบุตรเทพธิดาขึ้นสวรรค์ไป เพียงแค่ขอเพลิดเพลินในวิมาน ทิพยสมบัติสักวันสองวันแล้วค่อยมาบอกข่าว เมื่อถึงเวลานั้นพระองค์ย่อมละโลกนี้ไปเสียแล้ว พระเจ้าปายาสิฟังแล้วก็ยังไม่ยอมจำนน พระองค์ทรงเล่าถึงการทดลองของพระองค์ต่อไปอีกว่า พระองค์เคยนำนักโทษประหารมาต้มจนตาย โดยจับนักโทษลงไปในหม้อปิดฝาผนึกแน่น ไม่ให้มีการรั่วซึมใดๆเลย เมื่อต้มจนมั่นใจว่านักโทษตายเรียบร้อยแล้ว จึงเปิดรูเล็กๆ คอยสังเกตว่ามีสิ่งใดออกมาทางรูนั้น เพราะหากวิญญาณมีจริง คงต้องเห็นแวบออกมาบ้าง ได้เฝ้าสังเกตอยู่นาน ก็ไม่เห็นมีอะไรออกมาเลย แสดงว่าคนเรามีแต่ร่างกายไม่มีวิญญาณ
พระกุมารกัสสปะจึงทูลถามว่า พระองค์เคยหลับแล้วฝันไปใช่ไหม เช่นฝันว่าไปเที่ยวในอุทยานของพระองค์เอง พระองค์ตอบว่า เคยฝันเช่นนั้น พระกุมารกัสสปะจึงทูลถามว่า ขณะที่พระองค์ฝันว่าไปเที่ยวในอุทยาน พวกนางสนมนางกำนัลเห็นพระองค์ไหม พระองค์ตอบว่าไม่เห็น พระกุมารกัสสปะจึงทูลว่า ก็ขนาดวิญญาณของพระองค์ออกไปเที่ยวในอุทยาน นางกำนัลยังไม่เห็นเลย แล้ววิญญาณของนักโทษที่ตายแล้วพระองค์จะเห็นได้อย่างไร
๓. ทดลองใช้ตาชั่งวัดน้ำหนักคนโทษที่ถูกทำให้ตาย ทั้งก่อนและหลังตาย (ผิดจริยธรรมแม้จะทำในนักโทษประหารชีวิต)
พระกุมารกัสสปะทูลอย่างนี้แล้วพระเจ้าปายาสิก็ยังทรงเล่าถึงการทดลองของพระองค์ต่อไปอีกว่า พระองค์เคยใช้เครื่องชั่งที่มีความละเอียดมาก มาชั่งน้ำหนักคนก่อนตายและเมื่อตายแล้วโดยเวลาห่างกันเพียงไม่กี่นาทีในการชั่งน้ำหนักจะถอดเสื้อผ้าออกทั้งหมดเหลือแต่ตัวเปล่าๆ แม้ก่อนจะตายก็ไม่ให้ดื่มน้ำ แล้วเปรียบเทียบว่าน้ำหนักจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร ถ้าวิญญาณมีจริงแล้วออกไปจากร่าง น้ำหนักก็ต้องลดลงบ้าง แต่ผลปรากฏว่าน้ำหนักไม่ได้ลดลง ทั้งยังรู้สึกว่าร่างที่แข็งทื่อนั้นจะหนักกว่าเดิมด้วยซ้ำ แสดงว่าวิญญาณไม่มีจริง
พระกุมารกัสสปะจึงทูลว่า เมื่อเอาเหล็กไปเผาไฟจนร้อนเหล็กนั้นกลับดูเหมือนว่าเบาลง ทั้งที่มีธาตุไฟร้อนอยู่ ครั้นปล่อยให้เย็นลง เหล็กนั้นกลับดูเหมือนว่าหนักขึ้น ทั้งที่ความร้อนได้ออกไปแล้ว ร่างกายของคนเราก็เช่นกันกับเหล็ก นอกจากนี้วิญญาณยังเป็นของละเอียดมากไม่สามารถตรวจวัดด้วยเครื่องชั่งน้ำหนักได้ พระเจ้าปายาสิตรัสถามคำถามอีกมากมายพระกุมารกัสสปะก็ทูลตอบทีละข้อๆ จนกระทั่งพระเจ้าปายาสิหายสงสัย แต่ถึงกระนั้นพระองค์ก็ยังไม่ทรงเปลี่ยนความเชื่อ ทรงให้เหตุผลว่าชาวบ้านชาวเมืองตลอดจนพระราชาทั้งหลายต่างก็รู้ว่าพระองค์ไม่เคยเชื่อเรื่องชีวิตหลังความตาย ทรงเกรงว่าจะต้องอับอาย และเสียศักดิ์ศรีหากใครๆรู้ว่าพระองค์ได้เปลี่ยนความเชื่อเสียแล้ว
พระกุมารกัสสปะจึงทูลถามว่า ถ้าคนๆหนึ่งแบกกระสอบหญ้าอยู่ แล้วไปเจอกระสอบป่านที่ไม่มีเจ้าของ เขาควรจะทิ้งกระสอบหญ้าแล้วแบกกระสอบป่านที่มีค่ามากกว่าไปแทนไหม พระองค์ตอบว่าควรสิ พระกุมารกัสสปะจึงทูลถามต่อว่า แล้วถ้าเขาไม่ยอมทิ้งกระสอบหญ้า ด้วยเหตุว่าอุตส่าห์แบกมาตั้งนานแล้ว จะทิ้งก็เสียดายจึงแบกกระสอบหญ้าต่อไป และแม้ว่าจะเจอของดีๆอีกมากมาย เช่นกระสอบผ้าไหม กระสอบเพชรนิลจินดา เขาก็ไม่ยอมทิ้งของเดิม คนๆนั้นโง่หรือฉลาด พระองค์ตรัสตอบว่าโง่มาก พระกุมารกัสสปะจึงทูลถามว่า แล้วพระองค์ควรจะเป็นคนโง่หรือคนฉลาด พระองค์จะยึดถือทิฐิที่ผิด เพียงเพราะเสียดายด้วยอุตส่าห์ถือมาตั้งนานแล้ว จึงจำเป็นต้องถือต่อไป หรือว่าพระองค์จะถือทิฐิที่ถูกต้อง เพื่อรู้เห็นสิ่งที่ถูกต้องยิ่งๆขึ้นไป แต่นั้นมาพระเจ้าปายาสิก็หูตาสว่าง ยอมปรับความเห็นผิดแล้วหันมานับถือพระพุทธศาสนาจนตลอดชีวิต
....
สรุปผลการทดลองที่สูญเปล่า
พระเจ้าปายาสิ เคยพยายามใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์พิสูจน์หาความจริงของชีวิต แม้ต้องลงทุนด้วยชีวิตคนด้วยวิธีการอันน่ากลัวซึ่งปัจจุบันถือได้ว่าผิดศีลธรรมอย่างชัดเจน และด้วยสิ่งที่วิทยาการยังพิสูจน์ไม่ได้ทั้งในอดีตและปัจจุบัน ขาดกรอบแนวคิดที่ถูกต้อง ขาดกลวิธีและเครื่องมือที่สามารถทดลองกับเรื่องเหนือธรรมชาติได้จริงแม้ในปัจจุบัน ทำให้การทดลองของพระเจ้าปายาสิสูญเปล่า และไม่ว่าจะปรับเปลี่ยนวิธีการอย่างไร ก็ไม่อาจเข้าถึงความจริง
ในปัจจุบันนี้ นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายยังคงพยายามหาความจริงของโลกและชีวิต โดยศึกษาว่ากลไกของโลกกลไกของชีวิตเป็นอย่างไร แล้วทำความเข้าใจไปตามแนวทางของพื้นฐานความรู้ที่มีอยู่คือ ชีววิทยา ฟิสิกส์ และเคมี เพื่อนำความรู้เหล่านี้มาใช้พัฒนาความเป็นอยู่ของคนเราให้สะดวกสบายขึ้น เช่น นำความรู้ด้านชีววิทยามาใช้ประโยชน์ในทางการแพทย์ นำความรู้ด้านฟิสิกส์และเคมีมาใช้ในการสร้างเครื่องจักร สร้างเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งหลาย
จะเห็นว่าความรู้ทางวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ ควรจะทบทวนถึงหลักจริยธรรมให้ดี เพราะการมีจริยธรรมในมนุษย์มีความสำคัญพอ ๆ กับความรู้ให้ที่ค้นพบเพื่อประโยชน์สุขของมวลมนุษย์ ไม่ใช่เพื่อทำร้ายมนุษย์ด้วยกันเองอย่างสูญเปล่าเช่นในอดีต หรือแม้แต่การทารุณกรรมต่อสัตว์ต่าง ๆ โดยสูญเปล่าและไม่จำเป็น.....ทำเพื่อประโยชน์อะไร?
.......
การทดลองหาความจริงด้วยการฆ่าคนโทษ อย่างผิดหลักจริยธรรมของพระเจ้าปายาสิ
๑.ไม่มีการสืบสวนด้วยระบบยุติธรรม
"ดูกรท่านกัสสป บุรุษของข้าพเจ้าในที่นี้ จับโจรผู้ประพฤติชั่วหยาบมา แสดงแก่ข้าพเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ โจรผู้นี้ประพฤติชั่วหยาบต่อพระองค์ พระองค์ ทรงปรารถนาจะลงอาชญาอย่างใดแก่โจรผู้นี้ ขอได้ตรัสบอกอาชญานั้นเถิด
๒. ทดลองโดยไม่มีองค์ความรู้หรือการบททวนวรรณกรรม
ข้าพเจ้า บอกบุรุษพวกนั้นอย่างนี้ว่า ถ้าเช่นนั้น พวกท่านจงเอาตาชั่ง ชั่งบุรุษนี้ผู้ยังมีชีวิตอยู่ แล้วเอาเชือกรัดให้ขาดใจตาย แล้วเอาตาชั่ง ชั่งอีกครั้งหนึ่ง
บุรุษพวกนั้นรับคำ ข้าพเจ้าแล้ว เอาตาชั่ง ชั่งบุรุษนั้นผู้ยังมีชีวิตอยู่ แล้วเอาเชือกรัดให้ขาดใจตาย แล้วเอาตาชั่ง ชั่งอีกครั้งหนึ่ง
๓. ปราศจากองค์ความรู้ ทั้งกรอบทฤษฎี และกรอบแนวคิดที่ดี เครื่องมือวิจัยที่เชื่อถือได้
เมื่อบุรุษนั้นยังมีชีวิตอยู่ย่อมเบากว่า อ่อนกว่า และควรแก่การงานกว่า แต่เมื่อเขาทำกาละแล้ว ย่อมหนักกว่า กระด้างกว่า และ ไม่ควรแก่การงานกว่า
๔.สรุปผลวิจัยโดยใช้ความคิด และอคติส่วนตัว
ดูกรท่านกัสสป ปริยายแม้นี้แล เป็นเหตุให้ข้าพเจ้ายังคงมี ความเห็นอยู่อย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี
๕. ศึกษาไม่ควรศึกษา- เรื่องอจินไตย พิสูจน์ไม่ได้
- เรื่องที่สูญเปล่า ไม่มีประโยชน์ต่อการพัฒนาสังคมมนุษย์
- เรื่องที่ใช้กระบวนการศึกษาที่ผิดจริยธรรมร้ายแรง
......
ที่มา
http://www.84000.org/tipitaka/read/v.php?B=10&A=6765