ตอนที่ 1: ที่มาของภาษาและวัฒนธรรมไทย-ยวน สีคิ้ว
วรเดช มีแสงรุทรกุล
อาจารย์ประจำโปรแกรมวิชาภาษาไทย
คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา
(เขียนเมื่อ 7 กรกฏาคม 2559)
(เขียนเมื่อ 7 กรกฏาคม 2559)
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
จังหวัดนครราชสีมายังเป็นแหล่งการเรียนของอารยธรรมโบราณที่สำคัญเช่นปราสาทหินพิมาย
ซึ่งเชื่อว่าเคยเป็นแห่งอารยธรรมพุทธศาสนาของขอมโบราณ (เติม วิภาคยพจนกิจ. 2546 : 3 -5)
นอกจากนี้ด้วยภูมิประเทศของเมืองนครราชสีมาที่เป็นจังหวัดหนึ่งที่มีทรัพยากรที่มีความหลากหลายและอุดมสมบูรณ์
ทำให้มีกลุ่มชนชาติพันธุ์ต่าง ๆ
ย้ายถิ่นฐานเข้ามาอยู่ในจังหวัดนครราชสีมามาแต่ครั้งโบราณ จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้
จังหวัดนครราชสีมามีความหลากหลายทางด้านชาติพันธุ์ วัฒนธรรมความเชื่อ และภาษาที่แตกต่างกันออกไป
ของกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ เช่น คนไทยเชื้อสายมอญ คนไทยเชื้อสายลาว
คนไทยเชื้อสายเขมร และที่สำคัญชาวไท-ยวน (สุดาพร หงส์นคร. 2539
: 3-5 ) ซึ่งมีภาษาและวัฒนธรรม ประเพณี
ที่สืบทอดกันมาในตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ และโบราณคดีที่ยาวนาน
คำว่ายวน
ถ้าเป็นคำกริยาหมายถึง ยั่ว ล่อ
ชวนให้เพลิน ชวนให้ยินดี เช่น ยวนตา ยวนใจ แต่ถ้าเป็นคำนามหมายถึง
คำเดิมที่ชาวอินเดียเรียกชนชาติกรีก ซึ่งเพี้ยนมาจากคํา Ionia เป็น ชวนะ หรือ
เยวนเยาวนะ โยนก และ โยน ตามลำดับ ต่อมาคนไทยจึงก็นำคำเหล่านี้มาใช้เรียกคนไทล้านนา
(พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554. 2556 : 939)
จิตร
ภูมิศักดิ์ (2524 :
199-200 ) อธิบายว่า คำว่า ยวน น่าจะมาจากภาษาพม่าว่า ยูน
เมื่อพม่าปกครองล้านนา โดยคำว่า ยวน
เป็นคำที่คนไทยภาคกลางเรียกชาวล้านนามาก่อนคำอื่น
เช่นที่ปรากฏวรรณกรรมเรื่องลิลิตยวนพ่าย
ที่เล่าถึงเรื่องราวในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้นที่รบกับอาณาจักรล้านนา
ยวนพ่ายจึงหมายถึง ยวนที่เป็นชาวล้านนาแพ้ให้แก่กรุงศรีอยุธยา แต่ต่อมาคำว่า ยวน
ไปพ้องเสียงกับคำว่า ญวน ที่หมายถึงพวกเวียดนาม
เพื่อไม่ให้สับสนคนล้านนาในสมัยหลังจึงเรียกตนเองว่า คนเมือง แทนคำว่ายวน
แม้สมัยโบราณว่าคนไทยภาคกลางจะนิยมเรียกชาวล้านนาว่า ลาวล้านนา ลาวเชียงใหม่
แต่คนยวนไม่เคยเรียกตนเองว่า “ลาว” และแม้กระทั่งพวกชาวยวนที่ไม่ได้มีถิ่นที่อยู่ในทางภาคเหนือของไทย
เช่นทางภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ก็ยังนิยมเรียกตนเองว่า “ไท-ยวน” มากกว่า
และถือว่าตนเองเป็นชาวไทกลุ่มหนึ่งมาแต่ครั้งโบราณ
ชาวไท-ยวนสีคิ้ว
เป็นชาวไท-ยวนโบราณที่ย้ายถิ่นฐานมาจากภาคเหนือของประเทศไทยในอดีต
สมัยอาณาจักรโยนกเชียงแสนที่มีกษัตริย์องค์แรกคือ “สิงหวัต”
อาณาจักรของพระองค์ตั้งอยู่ในบริเวณเมืองเชียงแสน ที่อยู่ในจังหวัดเชียงรายปัจจุบัน
ก่อนพระเจ้าเม็งรายได้รวบรวมหัวเมืองต่าง ๆ
ในภาคเหนือร่วมเรียกว่าอาณาจักรล้านนาไทย
ก็เชื่อว่าชาวไท-ยวนเริ่มอพยพย้ายมาตั้งถิ่นในบริเวณต้อนล่างได้แก่พื้นที่อีสานตอนล่างและภาคกลางบ้างแล้ว
จนถึงประมาณปี พ.ศ. 2317 สมัยรัชกาลที่ 1 พม่าได้ยกทัพมาตีเมืองเชียงใหม่เป็นเหตุให้
พระองค์จำเป็นต้องทรงรับสั่งให้เผาที่มั่นและแบ่งชาวเชียงแสนออกเป็น 5 กลุ่ม โดยกลุ่มหนึ่งให้เป็นอยู่ที่ อำเภอเสาไห้
จังหวัดสระบุรี
ซึ่งชาวไท-ยวนที่เสาไห้ส่วนหนึ่งต่อมาได้อพยพขึ้นมาที่อยู่อำเภอสีคิ้ว
จังหวัดนครราชสีมา โดยคำว่าสีคิ้วสันนิษฐานว่าเพี้ยนมาจากชื่อผู้ปกครองในสมัยนั้นคือ
พระยาสี่เขี้ยว ซึ่งชาวไท-ยวน อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา
ยังคงตั้งศาลเจ้าบูชากราบไหว้มาจนถึงทุกวันนี้ (จารุวรรณ พรมวัง – ขำเพชร. 2537)
เนื่องจากชาวไท-ยวนส่วนใหญ่มีความสำนึกในชาติพันธ์ุของตนเองอย่างชัดเจน
ดังที่ดวงกมล เวชวงค์ (2554
: 131) ได้กล่าวเกี่ยวกับการนำเสนอ อัตลักษณ์ทางด้านต่าง ๆ
ร่วมทั้งภาษาและวัฒนธรรมของไท-ยวน
ในบริบทของการส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชนและการท่องเที่ยวพอสรุปได้ว่า
แม้จะอพยพจากอาณาจักรเชียงแสน มานานถึง 200 ปี
ผ่านการผสมผสานทางวัฒนธรรมที่หลากหลาย
แต่สำนึกทางชาติพันธุ์ของชาวไท-ยวนยังคงอยู่มาถึงปัจจุบัน
โดยชาวไท-ยวนได้แสดงออกสำนึกทางชาติพันธุ์ของตนเองออกมาในชีวิตประจำวัน
การร่วมกลุ่มเพื่อทำกิจกรรมทางวัฒนธรรมของเยาวชนชาวไท-ยวนภายในชุมชน
แต่เนื่องจากชาวไท-ยวนต้องมีการปรับตัวและปรับเปลี่ยนอัตลักษณ์ของตนเองเพื่อมาเอามาเป็นจุดขายในเศรษฐกิจชุมชนของตนเอง
ดังนั้นอัตลักษณ์ทางภาษาและวัฒนธรรมของชาวไท-ยวน
จึงต้องมีการเปลี่ยนแปลงและประยุกต์ให้เข้ากับยุคสมัย
หรือดำรงรักษาไว้หรือไม่ขึ้นอยู่กับประโยชน์ที่ชาวไท-ยวนจะได้รับ
ชาวไท-ยวน
อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมามีความโดดเด่นในด้านฝีมือหัตถกรรมโดยเฉพาะการทอผ้า
การปักผ้าโบราณ และมีภาษาไท-ยวน
เป็นภาษาที่คนเฒ่าคนแก่ใช้พูดจาปราศรัยกันภายในหมู่บ้านทั่วไป
เนื่องจากภาษาไท-ยวนเป็นที่นิยมพูด เช่นเดียวกับภาษาภาคกลาง และภาษาอีสาน มีเยาวชนรุ่นหลังที่จะสืบทอดภาษาและวัฒนธรรมไท-ยวน
เพียงเล็กน้อย ทำให้ภาษาไท-ยวนของ อำเภอสีคิ้ว
จังหวัดนครราชสีมามีความสุ่มเสี่ยงในการที่จะสูญหายไปในอนาคต
วัาว มหัศจรรย์ เพิ่งค้นพบค่ะ ขอบคุณนะค่ะ
ตอบลบ