วิชาการแนวลี้ลับ กับความตายของวัฒนธรรมและการสร้างสรรค์
👽 ในโลกยุคปัจจุบันที่นานาชาติกำลังก้าวสู้ยุค
5.0 และใช้พลังงานสะอาดคือไฟฟ้าจากน้ำแทนน้ำมัน
ในขณะที่ประเทศของเราพึ่งจะมีความมุ่งหมายที่จะเข้าสู่ยุค 4.0 อีกหลายปีข้างหน้า แต่แวดวงวิชาการของเรากลับถูกครอบงำด้วยแนวคิดชาตินิยมสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่สอง (ค.ศ. 1939-1945 + 543 = พ.ศ.) ถอยหลังกลับไปเกือบ 80 ปีที่แล้วตามแนวคิดชาตินิยมไทยใช้ไทยผลิต (พ.ศ. 2482 -543 = ค.ศ.) แต่ก็ผลิตออกมาแล้วขายไม่ออกไง
เศรษฐกิจถึงได้เป็นแบบทุกวันนี้ เพราะยุคนี้ต้องผลิตออกมาแล้วขายในนานาประเทศทั่วโลกได้แบบจีน
มันถึงจะอยู่รอดได้
👽ซึ่งความจริงก็ไม่ใช่ว่าจะขายอะไรให้ใครไม่ได้เลย
แต่สินค้าไทยส่วนใหญ่เป็นวัตถุดิบที่มีต้นทุนต่ำ พวกประเทศอื่นซื้อไปสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่แล้วก็ส่งกลับมาขายเมืองไทยแพง
ๆ ทำให้ขาดดุลการค้า แล้วทำไม่คนไทยไม่สร้างสรรค์แล้วก็เอาไปขายเขาบ้าง
ความจริงคนไทยสร้างสรรค์เก่งมีมาก แต่พอสร้างสรรค์ออกมาแล้วสภาพสังคมไทยกลับไม่เอื้อให้คนที่สร้างสรรค์ผลงานอยู่รอด
ตั้งแต่ตอนสร้างสรรค์ผลงานออกมา ถ้าเป็นทางศิลปะก็ถูกโจมตีว่าผิดครู ถ้าเป็นสายวิทย์ก็จะว่ามีคุณภาพจริงหรือ
ของแบบนี้ต้องให้การเวลาเป็นตัวตัดสินและรอการพัฒนา ฝรั่งเองมันก็ต้องผ่านจุดนี้ไปก่อน
ถ้าไม่สนับสนุนให้ทำแล้วเมื่อไหร่จะได้เกิด
👽 พอเข้าสู่การค้าขาย ด้วยระบบน้ำร้อนน้ำชา
และการจัดการที่ไม่ดี ทำให้ผลงานสร้างสรรค์หลาย ๆ ผลงานไม่มีการพัฒนาถูกนำไปขึ้นหิ้ง
แช่แข็ง ถูกกล่าวหาว่าไม่มีคุณภาพใช้ประโยชน์ไม่ได้ เพราะผลงานนั้นเมื่อผลิตออกมาอาจจะมีผลกระทบกับรายได้จากการขายของจากต่างประเทศที่แพงกว่าของคนบางกลุ่มที่มีอิทธิพลสูง
(คิดแต่ประโยชน์ส่วนตน ไม่คิดถึงส่วนรวม และอนาคต) หรือถูกดึงไปเกี่ยวของกับการทุจริตในบางองค์กร
สร้างชื่อให้เสียจนขึ้นบัญชีดำ เพราะคนไทยทำคนไทยด้วยกันง่าย ในขณะที่ฝรั่งจะมาพร้อมกับนักกฎหมาย
ซึ่งพอพูดถึงเรื่องกฎหมายและความยุติธรรมกับอีกหลายเหตุปัจจัยทำให้นักคิดนักสร้างสรรค์ผลงานบางคน
ตัดสินใจไปทำงานต่างประเทศที่มีระบบการจัดการที่ดียุติธรรมกว่า (เรียกว่าสมองไหล)
ในขณะที่เยาวชนรุ่นหลังส่วนใหญ่ยังไม่ชอบไปไหนไกลไม่ชอบไปทำงานไกลบ้านอยู่
👽 ยอมให้ผู้นำทางความคิดซึ่งปัจจุบันมักจะสร้างมายาคติขึ้นมากดหัวให้ชนชั้นรากหญ้าอยู่ใต้ชาตินิยมผิด
ๆ สร้างทฤษฎีทางวิชาการประเภทพิสูจน์ไม่ได้ขึ้นมารองรับวาทกรรมของตนเองเพื่อครอบงำสังคม
ไม่ว่าจะเป็นปรัชญาแนวลี้ลับ เช่นพุทธองค์เป็นคนไทย กรุงกบิลพัสดุคือลพบุรีเพราะที่ลพบุรีมีลิงเยอะ
หรือประวัติศาสตร์แนวลี้ลับ ยิ้มสยามมีแต่ยุคสุวรรณภูมิ (ก็เป็นผลผลิตจากแนวคิดเผด็จการชาตินิยมทั้งสิ้น)
เอ๋....ยุคนั้นเสียมล้อไม่ได้ตกเป็นเมืองขึ้นขอมโบราณถูกเก็บส่วยน้ำ
ให้ขนน้ำไปให้ทาสต่าง ๆ ที่ถูกบังคับให้สร้างปราสาทหิน หรือ? เป็นทาสเขาหน้าระรื่นแล้วจะมาเป็นไทยทำไม?
นึกว่ามาเป็นไพร่ฟ้าหน้าใสเพราะเป็นเอกราชยุคสุโขทัย ???? ฯลฯ ซึ่งเรื่องของผมที่ว่ามาก็พิสูจน์ไม่ได้เหมือนกันกับทฤษฎีนั้นแหละเพราะมันนานนมกาเลจนไม่เหลือหลักฐานใดแล้ว
ผู้ใหญ่บางคนจึงเอากลับมาผลิตซ้ำเป็นวาทกรรมทางสังคมเพราะคิดว่าสิ่งเหล่านี้พูดไปก็ไม่ผิดเพราะพิสูจน์ไม่ได้
เพราะไม่มีประจักษ์พยาน แต่ความจริงมันมีพยานแวดล้อม
👽 เพราะนอกจากหลักฐานแวดล้อมเกี่ยวกับเสียมล้อ หลักฐานเกี่ยวกับพุทธเจ้าที่มีอยู่ในอาเซียน
และอินเดีย เช่นเดียวกับอุปกรณ์ดนตรีทั่วโลก ของมนุษยชาติมันก็คล้าย ๆ กัน และดนตรีเป็นสากลทั่วโลก
แต่เรากลับไม่สนใจศึกษา ถ้าเราจะไม่ละอายแก่ใจบอกว่าเป็นของเราเท่านั้น เพราะมนุษย์มีมือ
ตา หู จมูก ปากเหมือนกัน ก็จะยอมคิดอะไรและทำอะไรคล้าย ๆ กัน ก็ไม่เป็นไรที่เราจะว่าเราคิดของเราได้เอง
แต่บังเอิญว่าสิ่งที่เราคิดได้เองนั้น บางอย่างที่เหมือนกันมีในต่างประเทศและอารยธรรมอื่นที่เขาก็คิดได้เหมือนกัน
แต่อาจจะคิดได้ก่อน ซับซอน มีหลักการ และดีกว่าเท่านั้น ดังนั้นคำว่าไม่มีในสังคมวิชาการของไทยปัจจุบันส่วนใหญ่ในหลายกรณีจึงหมายความว่ายังไม่มีใครกล้าเข้าไปศึกษา
ไม่มีความรู้พอ ไม่ใช่ว่ามันไม่มีอยู่จริง
👽ซึ่งถ้าเราจะเปิดหูปิดตาว่าของเราดีแล้วของคนอื่นไม่ดีก็ไม่เป็นไร
กาลเวลาเป็นสิ่งที่พิสูจน์แล้วว่าวัฒนธรรมเหล่านั้นมีใครสืบทอดและมันอยู่ในสายเลือดของเราจริงไหม?
หรือมันกำลังสูญหายไปเพราะการหยุดอยู่กับที่ไม่มีการสร้างสรรค์สิ่งใหม่
ๆ ขึ้นมารับใช้สังคม เพราะการหยุดกับที่คือความตายของประเพณีและวัฒนธรรม คนไทยหลาย
ๆ คนอาจจะไม่เข้าใจว่าการอนุรักษ์นั้นก็สำคัญ แต่การสร้างสรรค์และสืบทอดในยุคปัจจุบันนี้สำคัญกว่า
👽 หรือเราจะยินดีว่าลูกหลานในอนาคตของเราที่ถูกปิดหูปิดตาปิดกั้นทางความคิดนั้น
จะเป็นที่ชื่นชมกับนานาประเทศที่มาคบหาด้วยเพราะมีโลกทัศน์แคบและโง่ดี
มากกว่าการที่ลูกหลานในอนาคตของพวกเรามีนานาประเทศมาคบหาด้วยเพราะรู้ทันโลก และพวกเขาคบหาด้วยเพราะเห็นว่าฉลาดและเท่าเทียมกันละ
????
👽 นั้นก็น่าจะมาเป็นผลมาจากวันนี้ว่าผู้ใหญ่ในวันนี้จะเป็นครูแบบครูขององคุลีมาล ที่แนะนำสิ่งผิด ๆ ครอบงำลูกศิษย์ไว้เพื่อฆ่าลูกศิษย์ หรือผู้ใหญ่ในวันนี้จะเป็นครูของพระพุทธเจ้า
อย่างอาฬารดาบสและอุทกดาบส ที่ชี้นำแนวทางให้ตรัสรู้ได้ด้วยตนเองในอนาคต ด้วยการเรียนรู้อย่างอิสระและแท้จริง
👽 สำหรับผมเองก็คงแต่ทำได้แค่เตือนเยาวชนรุ่นหลัง
รุ่นลูกรุ่นหลาน และรุ่นน้อง ๆ ว่า อย่าเชื่ออะไรง่าย
ๆ แม้ผู้ที่น่าเชื่อที่สุดจะเป็นผู้พูด และแม้แต่ผมเองพูดก็อย่าพึ่งเชื่อ
จงใช้หลักกาลามสูตรในการเชื่อกับผู้ใหญ่ในบ้านในเมืองวันนี้ให้มาก ๆ
ระวังจะเจอครูแบบขององคุลีมาลที่พยายามใช้ทฤษฎีวิชาการแนวลี้ลับครอบงำและสิงสู่พวกท่านอยู่ เยาวชนรุ่นใหม่ควรมีความคิดเป็นของตนเองดีที่สุด และสามารถคิดวิเคราะห์อย่างมีวิจารณญาณ
ปล. จงใช้หลักกาลามสูตรเป็นข้าวสารเสกขับไล่อวิชาพวกนั้นไปจากหัวของตน และแนะให้คิดอย่างมีวิจารณญาณ ไม่ใช่ก้าวร้าวนะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น