หลายมหาวิทยาลัยพยายามเปลี่ยนเป็นมหาวิทยาลัยแห่งการวิจัยกันไปล่วงหน้าแล้ว เพื่อจะได้ไม่ต้องพึ่งพาจำนวนนักศึกษา ผมว่าเรื่องที่จะลดอัตราจ้างงานทางภาคการศึกษาเป็นเรื่องเก่าพูดแล้วพูดอีก เพื่อเป็นการปลุกกระแสเพื่อให้การปฏิรูปการศึกษาไทยเน้นไปสู่ระบบโรงงานแบบเดิม ๆ ซึ่งเป็นภัยที่แท้จริงต่อการศึกษาไทย
ทั้งที่ความจริงปัญหาการศึกษาไทยคือเด็กปัจจุบันไม่มองว่าการศึกษาสร้างความสำเร็จให้ชีวิตแบบเมื่อก่อนแล้ว แต่เป็นเพียงใบเบิกทางที่ใช้เงินซื้อได้ คนสิงคโปร์มีอัตราบัณฑิตจบเท่ากับไทย แต่อัตราการตกงานน้อยกว่าไทยมากเพราะบัญฑิตของเขาจบแล้วใช้งานได้จริง ส่วนบัณฑิตไทยจบมาแล้วพูดอังกฤษ จีน และอื่น ๆ ไม่ได้รับไปทำงานก็ไม่มีองค์ความรู้
ที่มหาวิทยาลัยที่ผมสอน นศ. จีนมาเรียนไทย ตั้งแต่ไปฝึกงานก็ได้งานเกือบทุกคน ๙๙ % เพราะเด็กจีนเรียนภาษาไทยพูดไม่ชัดแต่เขาพูดได้สามภาษาทั้งจีน ไทย และอังกฤษ ในขณะที่ นศ.ไทย (ในมหาวิทยาลัยอื่น ๆ ทั่วไป) เก่งแต่ทำข้อสอบกา ใช้สูตรโกงจากติวเตอร์สอบจบได้คะแนนดีแล้วก็ลืม พูดกับฝรั่งไม่ได้ ???
ผมยังเชื่อว่าความรู้ทุกอย่างมีค่าเรียนแล้วถ้ารู้จักไปประยุกต์ใช้ได้ย่อมไม่ตกงาน ส่วนการจะพัฒนาการศึกษาในอนาคต ผมมองว่าเราไม่ควรมองแต่ในเรื่องธุรกิจระยะสั้น แต่ควรมองถึงการพัฒนาการศึกษาในรอบร้อยปี ปู่ พ่อ และรุ่นหลาน ควรมองว่าประเทศเราสามารถแข่งอะไรกับสากลโลกได้บ้าง เพื่อสร้างรากฐานการศึกษาอย่างแท้จริงให้ยั่งยืน ไม่ใช่อะไรก็จะพัฒนาแต่อุสาหกรรมดิบ และพลังงานสกปรกที่ล้าสมัยแล้ว
ยุคนี้ต้องพลังงานสะอาด นาโนเทคโนโลยี ปัญญาประดิษฐ์ (AI) หรือพันธุวิศวกรรม ซึ่งต้องตามให้ทันโลกโดยไม่หลงลืมรากเหง้าของตนเอง แลต้นทุนทางภาษาและวัฒนธรรมที่หากินได้ชั่วลูกหลาน และยังยืนแท้จริงกว่าผลผลิตทางอุสาหกรรมที่ก๊อปปีกันได้ แต่อัตลักษณ์ไทยก๊อปไม่เหมือน ฯลฯ
โดยส่วนตัวผมคิดว่าพวกที่เรียน ป.ตรี ครูมาและมุ่งเป้าว่าจะต้องเป็นครูเท่านั้น แต่อาจารย์ระดับในมหาวิทยาลัยจบสูงกว่า และหลายคนก็มีความสามารถรอบด้าน และอาจารย์เขาไม่ได้สอนในมหาวิทยาลัยเดียว หรือยึดอาชีพการสอนเลี้ยงชีพเท่านั้น เรียกว่าส่วนหนึ่งมาเป็นอาจารย์เพื่ออุดมการณ์ ไม่ได้สิ้นไร้ไม้ตอกมาเป็นอาจารย์ ถ้าไปทุ่มเทค้าขายกันให้เหมือนกับที่ทุ่มเทกันให้เด็กแบบทุกวันนี้ หลาย ๆ คนคงรวยไปแล้ว ผมจึงไม่ห่วงเลยว่าในอนาคตอาจารย์ท่านใดจะทำอาชีพอื่นเลี้ยงตนเองไม่ได้
แต่สิ่งที่น่ากังวลกว่าคือวาทกรรมและระบบหนูลองยาที่ทำให้การศึกษาและเด็กรุ่นใหม่ต้องรับกรรมและเดือดร้อนดังเช่นการรับนักศึกษาเข้าเรียน ที่ทำให้เด็กครึ่งประเทศไทยเกือบไม่มีที่เรียนแล้วมากกว่า ซึ่งเป็นหลักฐานชัดเจนว่าการศึกษาไทยในปัจจุบันมันเลวและเละเพราะว่าระบบ (การศึกษาเชิงธุรกิจ หรือทำให้เป็นธุรกิจ มากกว่ามุ่งประโยชน์ของเด็กที่แท้จริง) ไม่ใช่ที่เพราะความรู้ของครู หรือความใฝ่รู้ของนักเรียน นักศึกษา
ทั้งที่ความจริงปัญหาการศึกษาไทยคือเด็กปัจจุบันไม่มองว่าการศึกษาสร้างความสำเร็จให้ชีวิตแบบเมื่อก่อนแล้ว แต่เป็นเพียงใบเบิกทางที่ใช้เงินซื้อได้ คนสิงคโปร์มีอัตราบัณฑิตจบเท่ากับไทย แต่อัตราการตกงานน้อยกว่าไทยมากเพราะบัญฑิตของเขาจบแล้วใช้งานได้จริง ส่วนบัณฑิตไทยจบมาแล้วพูดอังกฤษ จีน และอื่น ๆ ไม่ได้รับไปทำงานก็ไม่มีองค์ความรู้
ที่มหาวิทยาลัยที่ผมสอน นศ. จีนมาเรียนไทย ตั้งแต่ไปฝึกงานก็ได้งานเกือบทุกคน ๙๙ % เพราะเด็กจีนเรียนภาษาไทยพูดไม่ชัดแต่เขาพูดได้สามภาษาทั้งจีน ไทย และอังกฤษ ในขณะที่ นศ.ไทย (ในมหาวิทยาลัยอื่น ๆ ทั่วไป) เก่งแต่ทำข้อสอบกา ใช้สูตรโกงจากติวเตอร์สอบจบได้คะแนนดีแล้วก็ลืม พูดกับฝรั่งไม่ได้ ???
ผมยังเชื่อว่าความรู้ทุกอย่างมีค่าเรียนแล้วถ้ารู้จักไปประยุกต์ใช้ได้ย่อมไม่ตกงาน ส่วนการจะพัฒนาการศึกษาในอนาคต ผมมองว่าเราไม่ควรมองแต่ในเรื่องธุรกิจระยะสั้น แต่ควรมองถึงการพัฒนาการศึกษาในรอบร้อยปี ปู่ พ่อ และรุ่นหลาน ควรมองว่าประเทศเราสามารถแข่งอะไรกับสากลโลกได้บ้าง เพื่อสร้างรากฐานการศึกษาอย่างแท้จริงให้ยั่งยืน ไม่ใช่อะไรก็จะพัฒนาแต่อุสาหกรรมดิบ และพลังงานสกปรกที่ล้าสมัยแล้ว
ยุคนี้ต้องพลังงานสะอาด นาโนเทคโนโลยี ปัญญาประดิษฐ์ (AI) หรือพันธุวิศวกรรม ซึ่งต้องตามให้ทันโลกโดยไม่หลงลืมรากเหง้าของตนเอง แลต้นทุนทางภาษาและวัฒนธรรมที่หากินได้ชั่วลูกหลาน และยังยืนแท้จริงกว่าผลผลิตทางอุสาหกรรมที่ก๊อปปีกันได้ แต่อัตลักษณ์ไทยก๊อปไม่เหมือน ฯลฯ
โดยส่วนตัวผมคิดว่าพวกที่เรียน ป.ตรี ครูมาและมุ่งเป้าว่าจะต้องเป็นครูเท่านั้น แต่อาจารย์ระดับในมหาวิทยาลัยจบสูงกว่า และหลายคนก็มีความสามารถรอบด้าน และอาจารย์เขาไม่ได้สอนในมหาวิทยาลัยเดียว หรือยึดอาชีพการสอนเลี้ยงชีพเท่านั้น เรียกว่าส่วนหนึ่งมาเป็นอาจารย์เพื่ออุดมการณ์ ไม่ได้สิ้นไร้ไม้ตอกมาเป็นอาจารย์ ถ้าไปทุ่มเทค้าขายกันให้เหมือนกับที่ทุ่มเทกันให้เด็กแบบทุกวันนี้ หลาย ๆ คนคงรวยไปแล้ว ผมจึงไม่ห่วงเลยว่าในอนาคตอาจารย์ท่านใดจะทำอาชีพอื่นเลี้ยงตนเองไม่ได้
แต่สิ่งที่น่ากังวลกว่าคือวาทกรรมและระบบหนูลองยาที่ทำให้การศึกษาและเด็กรุ่นใหม่ต้องรับกรรมและเดือดร้อนดังเช่นการรับนักศึกษาเข้าเรียน ที่ทำให้เด็กครึ่งประเทศไทยเกือบไม่มีที่เรียนแล้วมากกว่า ซึ่งเป็นหลักฐานชัดเจนว่าการศึกษาไทยในปัจจุบันมันเลวและเละเพราะว่าระบบ (การศึกษาเชิงธุรกิจ หรือทำให้เป็นธุรกิจ มากกว่ามุ่งประโยชน์ของเด็กที่แท้จริง) ไม่ใช่ที่เพราะความรู้ของครู หรือความใฝ่รู้ของนักเรียน นักศึกษา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น