วันอังคารที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2567

วันศุกร์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2567

ร้านอาหาร Hometown Cafe โฮมทาวน์ คอฟ (เป็นร้านอาหารเบลเยี่ยม) แผนที่

จากแม่ครัวไทยที่ไปฝึกอบรมที่ประเทศเบลเยี่ยม ราคาไม่แพงช่วงลดราคา อร่อยมากใกล้วัดสมอราย ทางออกไปเตอะมอโคราช
............................


อาหารที่แนะนำ กาแฟร้อน กาแฟเย็น เค้ก สเต็ก ผักขม อบชีส เป็นต้น







👉 Hometown Cafe Map 👈

เลขที่ 3398/10 ถ.มุขมนตรี ซอยวัดสมอราย ตรงข้ามหอพักทัศนียารมณ์ ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครราชสีมา 30000 โทร 096 148 2675
...........................



วันศุกร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2566

กัลมาษะบาท พระเจ้าเท้าด่าง หรือพระยาปุริสาท เวอร์ชั่นสันสกฤต ที่มาตำนานจิ้งจอกเก้าหางของอินเดีย

      


ภาพพระยาปุริสาทจีน ไต้สือเอี้ย (大士爺) หรือ พ้อต่อก้ง (普渡公)

     ตามที่ปรากฏเนื้อเรื่องในอุตตระ กัณฑะ ของวัลมิกิ รามายณะ ชื่อของกัลมาษปาท (कल्माषपाद) หรือ กัลมาษะบาท คือ วีรสหะ เสาทาสะ (वीरसह सौदास / ในปุราณะอื่นใช่ว่า มิตฺรสห मित्रसह

ครั้งหนึ่งกษัตริย์กัลมาษะบาทออกล่าสัตว์ ได้พบรากษสสองตนอยู่ในป่าแห่งหนึ่ง รากษสทั้งสองได้กินสัตว์ในป่าจนหมดจนแล้วแปลงกลายเป็นเสือ (ในห้องสินวรรณกรรมจีนแปลไทย ว่า เสือปลา ในเรื่องนาจาละครจีนว่า จิ้งจอกเก้าหาง) นอนพักอยู่ เจ้าชายเสาทาสะได้ฆ่ารักษสตนหนึ่ง และ (รากษส) อีกตนหนึ่งก็สาบานว่าจะแก้แค้น (เพราะได้ฆ่าเพื่อนของตน) (Satya Chaitanya. 2009: Online)

หลายปีต่อมา เจ้าชายเสาทาสะได้กลายเป็นกษัตริย์กัลมาษะบาทแห่งอโยธยา เรื่องมีว่าพระเจ้าเสาทาสะได้รับการสนับสนุนจากพระฤๅษีวสิษฐะ ให้ทรงประกอบอาศวเมธาอยู่นานหลายปี จนถึงวันสุดท้ายของพิธีบวงสรวง รากษสร้ายก็พบโอกาส มันได้แปลงร่างเป็นพระฤๅษีวสิษฐะมาเข้าเฝ้าพระเจ้าเสาทาสะและบอกพระราชาว่าเนื่องจากเป็นวันสิ้นสุดของการบูชายัญเขาจึงต้องการให้ถวายเนื้อสัตว์ในมื้ออาหารของเขา กษัตริย์ทรงสั่งให้แม่ครัวนางตนเครื่องในวังปรุงเนื้อสัตว์ถวายพระฤๅษี แล้วรากษสฉวยโอกาสเข้าไปในครัวโดยปลอมตัวเป็นคนครัวคนหนึ่ง เพื่อเตรียมเนื้อมนุษย์ด้วย และเนื้อนั้นไปพร้อมกับอาหารอื่น ๆ เพื่อให้พระเจ้าเสาทาสะถวายเนื้อมนุษย์ให้แด่พระฤๅษีวสิษฐะและฤๅษีบริวาร โดยพระฤๅษีทั้งหลายนั้นรู้ว่านี่คือเนื้อของมนุษย์ ทำให้ฤๅษีวสิษฐะโกรธมากจึงสาปให้พระเจ้าเสาทาสะกลายเป็นรากษส (Satya Chaitanya. 2009: Online)

กษัตริย์เสาทาสะทรงพระพิโรธต่อความอยุติธรรม จึงทรงหยิบน้ำไว้ในพระหัตถ์และเสริมกำลังด้วยมนต์สะกด และทรงเตรียมสาปแช่งวศิษฐะด้วยเช่นกัน แต่นางมทยันตี (मदयन्ती) พระมเหสีของพระองค์หยุดยั้งพระเจ้าเสาทาสะจากบาปนี้ โดยบอกว่าพระองค์ไม่สมควรสาปแช่งพราหมณ์ แต่เนื่องจากน้ำสาปนั้นไม่สามารถสิ้นเปลืองได้ นางจึงขอให้พระราชารดน้ำลงบนเท้าของพระองค์เอง กษัตริย์กัลมาษะบาทก็ทำตาย ทำให้เท้าของพระองค์ก็กลายเป็นด่าง ในตอนนั้น พระราชาจึงได้ชื่อว่า กัลมาษะบาท ที่แปลว่า ตีนด่าง (Satya Chaitanya. 2009: Online)

พระฤๅษีวสิษฐะจึงเสนอไว้ว่า จะให้การปลดปล่อยกษัตริย์กัลมาษะบาทจากคำสาปเมื่อครบสิบสองปี แต่ไม่มีเหตุผลว่าทำไมสิ่งนี้ถึงทำให้กษัตริย์กัลมาษะบาทพอใจ เพราะไม่ใช่ความผิดของความหุนหันพลันแล่นของตน และคิดว่า “พระฤๅษีวสิษฐะได้พรากชีวิตของเขาไปสิบสองปีและเปลี่ยนผู้ยิ่งใหญ่แห่งราชวงศ์อิษวากุให้กลายเป็นเดรัจฉานที่น่าสงสารเช่นนี้” ทั้งเป็นไปได้ว่าในขณะที่ธรรมชาติของรากษะที่เข้าครอบงำ ขณะที่พระเจ้ากัลมาษะบาทจมลงในความมืดฝ่ายวิญญาณ พระองค์จึงเริ่มแสวงหาการแก้แค้นและบุตรชายของพระฤๅษีวสิษฐะกินจนหมด (Satya Chaitanya. 2009: Online)

.......................



ต่อมาในปุราณะอื่น ๆ ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ภายหลัง พระเจ้ากัลมาษะบาทได้ไปกินสามีนางพราหมณ์ท้องแก้ผู้หนึ่งจึงถูกนางสาปก่อนเข้ากองไฟตายตามสามี สาปว่า “ไม่ให้พระเจ้ากัลมาษะบาทสามารถแตะต้องหญิงใดได้อีก” และเพื่อเป็นการไถ่บาปที่กินลูกฤๅษีวสิษฐะจนหมดจึง ให้พระฤๅษีวสิษฐะทำพิธีสังโยคหลับนอนกับนางมทยันตี (ทามยันตรี ก็ว่า) เพื่อให้กำหนิดทายาทสืบบัลลังก์ราชวงศ์อิษวากุ ที่เป็นสายเลือดของฤๅษีวสิษฐะ หลังจากนั้นนางมทยันตีได้ตั้งครรภ์ แต่คลอดลูกไม่ออกจึงเอาหินมีคม กรีด (หรือทุบ) ท้องตนเองแล้วให้กำเนิด เจ้าชายอศมกะ (अशमक) แปลว่าผู้เกิดจากหิน ก่อนทิวงคต (ตาย) ไป

.....................

ในปุราณะสำนวนอื่นกล่าวว่า พระเจ้ากัลมาษะบาท ทะเลาะกับศักติมหาฤๅษีบุตรคนแรกของพระฤๅษีวิศวามิตร ที่เดินผ่านทางแคบแห่งหนึ่งแล้วไม่ยอมหลบทางให้กัน จนถูกสาปเป็นรากษสแล้วจึงจับศักติมหาฤๅษีกิน แล้วจึงเป็นไปตามสำนวนอื่น ๆ ที่จับลูกชายพระฤๅษีวสิษฐะทั้ง 99 ที่มาแก้แค้นกิน

........



ในสำนวนจีนที่อ้างอิงถึงปีศาจจิ้งจอกเก้าหาง ปรากฏนิทานเรื่องห้ามกินหัวหอมผักกินฉุนในเทศกาลกินเจคล้ายกันที่ว่า นางปีศาจจิ้งจอกเก้าหางปลอมมาเป็นนางสนมในวัง โดยนางมีความกลัวว่าพระสังฆราชที่พระราชานับถือมากจะจับได้ว่านางเป็นปีศาจจึงตั้งใจแกล้งให้พระสังฆราชศีลขาด จึงได้เชิญพระสังฆราชมากินเลี้ยงในวังโดยแอบเอาเนื้อมนุษย์ไปให้แม่ครัวในวังปรุงให้พระสังฆราชกิน แต่พระสังฆราชเป็นพระเถระผู้ใหญ่มีญาณกล้า จึงปัดอาหารที่ถวายทิ้งลงพื้นและขับไล่ปีศาจจิ้งจอกไป ส่วนอาหารที่ตกพื้นไปต่อมาที่ตรงนั้นก็มีหอมกระเทียมงอกออกมา ทำให้ในประเพณีกินเจห้ามกินหอมกะเทียม โดยในสำนวนของ ธ.ธรรมรักษ์ แปลไทยบอกแต่ว่าเป็นพระมเหสีไม่ได้บอกว่าเป็นปีศาจจิ้งจอก (ธ.ธรรมรักษ์. มปป: ออนไลน์)

โดยนิทานนี้นางปีศาจจิ้งจอกเก้าหางมีบทบาทคล้ายกับนางรากษสที่ปลอมตัวเป็นคนครัวในวังสำนวนอินเดีย แต่เรื่องผักต้องห้ามในเทศกาลกินเจและตำนานจีน ญี่ปุ่น เกาหลี เป็นปีศาจจิ้งจอกเก้าหางมีอิทธิพลมาก แต่ของอินเดียเป็นรากษส ส่วนของไทยก็จะตรงกับเรื่องราวของนางผีเสื้อน้ำ หรือนางผีเสื้อสมุทรที่แอบปลอมเป็นสาวงานในวรรณคดีไทย ทั้งเรื่องพิกุลทอง พระอภัยมณี ฯลฯ

ส่วนเรื่องปุริสาทกินผี หาอ่านได้ที่อรรถกถา มหาสุตโสมชาดก. ว่าด้วย พระเจ้าสุตโสมทรงทรมานพระยาโปริสาทโจรป่าอดีตกษัตริย์ที่ชอบกินเนื้อมนุษย์ โดยอนุภาคเรื่องปุริสาทกินผี หรือกินคนนี้ก็คล้ายกันกลับกันแค่พ่อครัวฆ่ามนุษย์เอามาให้พระราชากินแล้วติดใจ ไม่ได้เอาเนื้อให้พระฤๅษีกิน (พระไตรปิฏก. 2548: ออนไลน์)

...........

อ้างอิง

ธ.ธรรมรักษ์. (มปป). กินเจ. (ออนไลน์).จาก https://torthammarak.wordpress.com z/2011/10/06/การกินเจ/ (23/9/2566)

พระไตรปิฏก. (2548). อรรถกถา มหาสุตโสมชาดกว่าด้วย พระเจ้าสุตโสมทรงทรมานพระยาโปริสาท . (ออนไลน์) จาก https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=28&i=315 (23/9/2566)

Satya Chaitanya. (Saturday, October 10, 2009). Madayanti: The Woman Who Tore Open Her Womb. (online). From inner traditions : http://innertraditions.blogspot.com /2009/10/madayanti-woman-who-tore-open-her-womb.html (23/9/2566)

...........................



According to this version, given in the Uttara Kanda of the Valmiki Ramayana, Kalmashapada’s name was Veerasaha Saudasa. Once, out hunting, he comes across two rakshasas in a forest. The rakshasas have eaten up all the animals of the forest, assuming the form of tigers. Saudasa kills one of the rakshasas and the other vows revenge. Years later Saudasa becomes the king of Ayodhya and he, under the protection of Vasishtha, conducts an ashwamedha that lasts several years. On the last day of the sacrifice, the rakshasa finds his opportunity. He assumes the form of Vasishtha and coming to Saudasa tells him that since it is the concluding day of the sacrifice he would like meat to be served to him in his meal. The king instructs his cooks to cook meat, but they are confused. Meat for Vasishtha – they are not able to understand that. The rakshasa takes advantage of the confusion of the cooks and entering the kitchen in the guise of one of them, prepares not just meat, but human flesh itself, and brings this along with the rest of the meal to the king. Saudasa with great devotion offers the meal to Vasishtha and the sage, recognising the flesh, curses the king and changes him into a rakshasa for the sin of offering him a meal fit only for rakshasas. (Satya Chaitanya. 2009: Online)


วันเสาร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

พระอรหันต์ไม่หลงลืม

พระอรหันต์ไม่มีความหลงลืมและต้องอาบัติได้

.......
พระเจ้า​มิลินท์​ ” พระคุณเจ้า​นาคเสน​ ถ้าหากว่า​ พระอรหันต์​ก็ยังต้องอาบัติได้, และพระอรหันต์​ก็มีความเอื้อเฟื้อ​พระวินัยบัญญัติไชร้ ถ้าอย่างนั้น​ พระอรหันต์​ก็ยังมีความหลงลืมสติอยู่​นะสิ.”
..........
พระนาคเสน​ ” ขอถวายพระพร​ มหาบพิตร​ พระอรหันต์​ไม่มีความหลงลืม​สติหรอก​ แต่พระอรหันต์​ก็ยังต้องอาบัติได้.”
.........
พระเจ้ามิลินท์​ ” พระคุณ​เจ้า​ ถ้าอย่างนั้น​ ก็จงทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจเหตุผล​ที่ว่า​ ก็ในเมื่อพระอรหันต์​ไม่มีความหลงลืมสติแล้ว​ แต่พระอรหันต์​ยังต้อง​อาบัติ​ได้นั้น​ มีเหตุผล​เป็น​ประการใดเล่า? ”
.........
พระนาคเสน​ ” ขอถวายพระพร​ มหาบพิตร​ การกระทำที่มัวหมอง​ มี​ 2​ อย่าง​ คือ​ ที่เป็นโลกวัชชะ​ คือ​ เป็นโทษทางโลก​ 1.และที่เป็นปัณณัตติวัชชะ​ คือ​ เป็นโทษทางพระวินัยบัญญัติ​ 1.​ 
....
ขอถวายพระพร​ ที่เป็นโลกวัชชะ​ เป็นไฉน? ได้แก่​อกุศลกรรมบถ​ 10​ เป็นโทษทั้งคฤหัสถ์​ ทั้งบรรพชิต​ เช่น​ การฆ่าสัตว์​ เป็นต้น
...
มิลินทปัญหา (ตอนที่ ๔๙)ปัญหาที่ ๓, ขีณาสวสติสัมโมสปัญหา

มิลินทปัญหา ตอนที่ ๑ / hiphoplanla
https://www.youtube.com/watch?v=B9cJ_TewNDM

.......

ส่วนที่อ้างว่าพระอัสสชิหลงลืมทั้งที่เป็นพระอรหันต์เป็นการตีความผิด
เพราะในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค ๖. อัสสชิสูตร ว่าด้วยพระอัสสชิ

ประวัติ พระอัสสชิเถระ พระอาจารย์ของพระสารีบุตร / ธรรม กรรม
https://www.youtube.com/watch?v=iZUMysMGvEU

สรุปได้ว่า
ท่านไม่ได้หลงลืม แต่ท่านอาพาธมาก ท่านเลยสงสัยว่าท่านเสื่อมจากความดีที่ท่านมีอยู่หรือไม่ จึงไปกราบทูลถามฯ เมื่อทรงทราบก็ตรัสถามถึงในหลักธรรมที่ท่านพระอัสสชิเคยปฏิบัติได้ เมื่อสอบทานแล้ว ก็พบว่าท่านยังทรงคุณความดีอยู่เหมือนเดิม  
.......
พระเกจิปัจจุบันตีความเข้าข้างพระชราที่หลงลืมว่าเป็นพระอรหันต์ได้ แต่ความจริงไม่ได้
.......
บุญที่ทำมาทั้งชีวิตอาจจะทำให้ท่านบรรลุธรรมในขั้นอื่น จนสังขารเสื่อมแล้วยังไม่บรรลุอรหันต์ แต่อาจจะมีทางบุญไปบรรลุอรหันต์ในภพหน้า แต่การที่ศิษย์อ้างว่าท่านเป็นอรหันต์แล้วนั้นไม่ถูกต้อง เป็นการอวดอุตริหรือไม่  แม้อริยบุคคลก็ต้องอาบัติได้
......
พระอรหันต์เป็นการบรรลุธรรมที่ได้จากการฝึกจิต บางท่านได้คุณวิเศษตาทิพย์และระลึกชาติได้ในตำนาน ซึ่งไม่มีโรคอัลไซเมอร์และความหลงลืมแน่ 
.....
หมายเหตุ: บุพกรรมที่ทำให้หลงลืมบ่อยคือ "การเสพติดการโกหก"
.....
มีแต่คนไทยปัจจุบันที่เอาพระอรหันต์มาสถาปนากันเองเป็นตำแน่งเหมือนพระพม่าที่เรียกพระผู้ใหญ่ว่าเป็นพระอรหันต์เป็นการให้เกียรติไม่ว่าท่านจะเป็นพระอรหันต์จริงหรือไม่? ก็พอให้อภัย
........
แต่การกินขี้เยี่ยวบุคคลสำคัญมีนัยว่าจะเป็นโรคจิต กล่าวคือ พฤติกรรมกินขี้เยี่ยวเป็นกามวิตถาร (sexual deviation เซกซวล เดวิเอชั่น) อย่างหนึ่ง ได้แก่ 
Coprophilia หรือ Coprolagnia) ค็อพโรฟิลเลียหรือ ค็อพโรแล็กเนีย คือ เวจกาม (รักบูชาขี้) Urophilia ยูโรพีเลีย (รักบูชาเยี่ยว) น่าจะเรียกได้ว่าเป็นลัทธิผีกระสือเปรตที่ปลอมปนในพุทธศาสนาของไทย

วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

กามวิตถาร ประเภทกินขี้กินเยี่ยว



พฤติกรรมกินขี้เยี่ยวเป็นกามวิตถาร (sexual deviation เซกซวล เดวิเอชั่น) อย่างหนึ่ง


refer to: https://tenor.com/view/anoo-poop-happy-gif-13005869



......................มาจากจิตใต้สำนึก สนองอารมณ์ทางเพศ เช่นเดียวกับสุนัข......................

Saliromania ซาลิโลมาเนีย คือ กามวิตถารที่มีต่อสิ่งสกปรก วัดถุที่น่าขยะแขยงหรือผิดรูป
refer to: https://tenor.com/view/pig-mud-gif-7215206



.............
Coprophilia หรือ Coprolagnia) ค็อพโรฟิลเลียหรือ ค็อพโรแล็กเนีย คือ เวจกาม หมายถึง ภาวะที่คนได้รับความสุข ความพอใจทางเพศ โดยมีอุจจาระเป็นองค์ประกอบ เช่น การถ่ายอุจจาระบนร่างของคู่ร่วมเพศ หรือให้คู่ร่วมเพศถ่ายอุจจาระบนร่างของตน หรือ อาจกินอุจจาระ ของคู่ร่วมเพศด้วย ด้วยความรู้สึกบูชานับถือ
refer to: https://tenor.com/view/downsign-shitty-dog-shit-poop-dog-gif-13848343



..............
Urophilia ยูโรพีเลีย คือ กามวิตถารมีความสุขกับปัสสวะของคู่นอน





refer to: https://giphy.com/gifs/peep-peeing-1xOyJc0JRQrpsJUp7U

💩💩💩💩💩💩💩💩


🐺🐺🐺🐺🐺🐺🐺🐺





วันพุธที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2563

เมืองเซ็น หรือเซนไน เมืองหลวงของอินเดียใต้ที่สุนทรภู่กล่าวถึง


 สุนทรภู่กล่าวถึงชาวทมิฬในเมืองเซนไน (อินเดียใต้)

    💥Chennai चेन्नई (เขียน เจนฺนอี) சென்னை (เขียน  เจนฺไน) อ่าน เจนไน หรือ เซนไน หรือ เชนไน เนื่องจาก จ ในภาษาทมิฬอ่านได้หลายเสียงคือ จ = /จ/ /ฉ/ /ช/ /ฌ/ และ /ซ/ โดย จ  เสียง /ซ/  คือสำเนียงคนพื้นเมืองเซนไน ที่ปัจจุบันถือว่าเป็นเมืองหลวงรัฐทมิฬนาฑู โดยในสมัยก่อนพวกอังกฤษยึดครองอินเดียได้เปลี่ยนชื่อเมืองเซนไนว่า มัทราส Madras เมื่อได้เอกราช ชาวอินเดียก็เปลี่ยนชื่อเมืองกลับเป็นเซนไน ซึ่งสุนทรภู่คงได้รับการบอกเล่าจากแขกดราวิเดียนเชื้อสายทมิฬ -ลังกา ที่เป็นพราหมณ์ทมิฬในราชสำนักไทย เพราะตั้งแต่รัชกาลที่ 2 พบจดหมายเหตุว่าไทยมีการส่งทูตไปค้าขายเจริญสัมพันธไมตรีกับลังกา แล้วทรงรับสั่งให้หาพราหมณ์มาทำพิธีในราชสำนักด้วย และจากการบอกเล่าผ่านคำเล่าลือของชาวต่างชาติต่าง ๆ 

    💥สุนทรภู่ น่าจะรู้ว่า ลังกากับทมิฬไม่ถูกกันและใช้กันคนละภาษา ดังในเรื่องพระอภัยมณี กล่าวถึงเมื่อ มังคลารบแพ้ แม่ทัพเอก ลูกของสินสมุทรกับหญิงลังกา ยุพผกา คือ วายุพัฒน์ หนีไปเมืองเซ็นของชาวทมิฬที่ว่านุ่งดำกัน ซึ่งพวกนุ่งดำที่เซนไนมีสองพวกคือ พวกอิสลามนิกายชีอะ และพวกที่นับถือเทพพื้นเมืองสวามีไอยัปปาซึ่งมีถิ่นกำเนิดในรัฐเกรละ (อ่าน เก-ระ-ลา กลายเสียงเป็นครุที่สุดศัพท์) แต่เป็นที่นับถือทั่วไปในรัฐทมิฬนาฑู 

    💥ตามความเชื่อว่าเป็นบุตรของพระศิวะ (พ่อ) และพระนารายณ์ (แม่-โมหิณี) อวตารมาปราบมหิงษี ชายามหิงษาสุระ ที่ขอพรไม่ให้เทพ พระศิวะ พระนารายณ์ หรือเทวีศักติทั้งหลายฆ่าตนได้ ฯลฯ เชื่อว่าไอยัปปากำเนิดจากความเชื่อเรื่องพระหริหระ และเทพท้องถิ่น "ไอยานาร" ที่พัฒนามาจากความเชื่อเรื่องวีรบุรุษนักรบในท้องถิ่น ที่ปะทะกับความเชื่อนับถือเจ้าแม่ที่สตรีเป็นใหญ่อย่างเช่น กลุ่มเจ้าแม่ภัทรกาลี และเจ็ดสาวศรีพี่น้องของเจ้าแม่มีนักษี ของดราวิเดียน 

   💥ซึ่งสาวกของไอยัปปา มักจะนุ่งดำ หรือน้ำเงินเข้มบ้างถือศีลบูชาสวามีไอยัปปาในช่วงเทศกาลต่าง ๆ ไปชนกับพวกอิสลามนิกายชีอะที่ชอบแต่งดำอยู่แล้ว ชาวต่างชาติมาในช่วงนั้นก็จะมองว่าทมิฬเขาแต่งดำเกือบทั้งเมือง ที่ว่าปล่อยผมรุงรังเหมือนคนป่า เนื่องจากพวกนับถือไอยัปปาบางกลุ่มถือศีลกันไม่แต่งสวย ที่ว่าหน้าเหมือนลิง เพราะว่าชาวดราวิเดียนหรือทมิฬแท้มีเชื้อสายสืบมาจากคนผิวดำในแอฟริกา ปัจจุบันมีการพิสูจน์ DNA แล้ว 
    
    💥ปล.ปัจจุบันคนนับถือไอยัปปาไม่แต่งดำถือศีลเหมือนสมัยก่อนก็มี ที่ว่าสตรีทมิฬมักคบชู้เวลาสามีไม่อยู่ อาจจะเพราะสังคมดราวิเดียนแต่เดิมเป็นสังคมสตรีเป็นใหญ่ และนิยมบูชาลัทธิตันตระมีความนิยมเจ้าแม่ภัทรกาลีในบางกลุ่ม แต่กลุ่มพราหมณ์กษัตริย์เขาเข้มงวดและชายเป็นใหญ่



 


      💥มีแต่ชาวลังกาที่ชังทมิฬ ส่วนพวกฝรั่งกรีก มาตั้งชุมชนอยู่ที่นาคปัฏฏินัม ซึ่งขุดพบลูกปัดและเหรียญกรีกเป็นหีบ ๆ มีนักวิชาการเชื่อว่าผ้าฝ้ายที่พวกกรีกโรมันใส่ทอมาจากอินเดียใต้ (แต่ลังกาในเรื่องอภัยมณีเป็นเมืองฝรั่งจึงต้องว่าฝรั่งดำลังกา คือพวกสิงหลเกลียด ซึ่งชาวสิงหลรบกับทมิฬที่อยู่ตอนตอนเหนือเกาะลังกาคือดินแดนทมิฬมาแต่สมัยโบราณ จาฟนา Jaffna kingdom ตามฝรั่งหรือรู้จักในชื่อทมิฬว่า "ยาฬป์ปาณะ อะระซุ" யாழ்ப்பாண அரசு โดยปัจจุบันคนทมิฬในศรีลังกาถูกกวาดล้างอำนาจด้วยสงครามในปี 2552 ทำให้กองทหารพยัคฆ์อีแลมถูกเข่นฆ่าอย่างโหดร้ายพร้อมครอบครัวก่อนวันที่ 19 พ.ค. 2552 ปัจจุบันรัฐบาลศรีลังกาพยายามส่งเสริมให้จาฟนา เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมของทมิฬ-ศรีลังกา หรือทมิฬอีแลม)


refer to: https://www.allceylon.lk/tourist-places-in-jaffna

ชีเปลือยในเรื่องพระอภัยมาจากไหน? และเป็นนักบวชประเภทใดในวัฒนธรรมอินเดีย



1) สาธุ साधु นักบวชที่ละโลกใช้ชีวิตแบบสันยาสี เป็นคำเรียกรวม ๆ ทั้งนักบวชฮินดู นิกายศังกราจารย์ (ไศวนิกายย่อย) นาคาสาธุ (ไศวะ) อโฆรี (ไศวะ) นิกายรามานุชะ (ไวษณพ) สวามีนารายณะ (ไวษณพ) สวามีรามกฤษณะ (ศักติ-มหากาลี)  ร่วมทั้งศาสนาไชนะ และและบางครั้งแขกใช่เรียกพระสงฆ์ชาวพุทธด้วย

2) สาธฺวี साध्वी นักบวชหญิง

3) สวามี  स्वामी ใช้เรียก สามีในหนังจักร ๆ วงศ์ ๆ แขก หรือพระผู้ใหญ่ เหมือนคำว่า พระคุณเจ้า หรือ มหาเถระ ใช้เรียกเจ้าลัทธิ หรือบุคคลที่เป็นศูนย์ร่วมจิตใจ มีคำไวพจน์เช่น บาบา (คุณพ่อ ตรงกับคำว่า father ของคริสต์) 

4) ทิกฺษา दिक्षा การบวช

5) มาตาชี माताजी ขั้นการบวชของไชนะที่สตรีต้องโกนผม หรือแม่ชีนักบวชสตรีนิกายต่าง ๆ


 ชีเปลือยอินเดียมีสามพวกใหญ่คือ

6) ทิคัมพร दिगम्बर  คือนักบวชในศาสนาไชนะ หรือเชน เป็นมังสวิรัติ 

7) เศฺวตามพร  श्वेताम्बर  นักบวชหญิงและชายนิกายเศวตัมพร นุ่งขาวห่มขาวไม่เปลือย ทั้งชายหญิงทุกนิกายโกนผม

8) อโฆรี  अघोरी กินเนื้อมนุษย์ ไม่ต้องมีครู ชอบทำเรื่องแปลก น่ากลัวเพื่อเรียกศรัทธา

9) นาคา สาธุ नागा साधु  พวกกินเนื้อสัตว์ แต่ไม่กินเนื้อมนุษย์ มีบ้างเป็นมังสวิรัติ เรียนกับครู 12 ปี ในสำนักเรียกว่า ขารา หรืออขารา จึงบวชได้ ส่วนใหญ่อยู่ที่ กุมภเมลา ฝึกโยคะ มีความรู้รักษาโรคได้บ้าง  เล่นมายากล ลอยได้บ้าง หรือนั่งทรงตัวในท่าแปลก ๆ ของโยคะ เพื่อเรียกศรัทธา


ปล. ทั้งอโฆรี และนาคาสาธุสองพวกนี้นับถือพระศิวะ และนักบวชเปลือยเอาขี้เถ้าทาตัวเหมือนกัน แต่นักบวชหญิงส่วนใหญ่นุ่งผ้าสีโทนเหลืองแดงหรือสีฝาดไม่เปลือย และไว้ผมยาว บางคนไว้ยาวมากม้วนเป็นมวยยาวเป็นเมตร ตรงกับชีเปลือยในเรื่องพระอภัยมณี


......

จะกล่าวความพราหมณ์แขกซึ่งแปลกเพศ.......อยู่เมืองเทศแรมทางที่กลางหน

ครั้นเสียเรือเหลือตายไม่วายชนม์..................ขึ้นอยู่บนเกาะพนมในยมนา

ไม่นุ่งห่มสมเพชเหมือนเปรตเปล่า..................เป็นคนเจ้าเล่ห์สุดแสนมุสา

ทำเป็นทีชีเปลือยเฉื่อยเฉื่อยช้า......................ไม่กินปลากินข้าวกินเต้าแตง

พวกสำเภาเลากาก็พาซื่อ...............................ชวนกันถือผู้วิเศษทุกเขตแขวง

คิดว่าขาดปรารถนาศรัทธาแรง........................ไม่ตกแต่งตั้งแต่คิดอนิจจัง

ใครขัดสนบนบานการสำเร็จ.............................เมื่อแท้เท็จถือว่าวิชาขลัง

คนมาขอก่อกุฏิ์ให้หยุดยั้ง................................นับถือทั้งธรณีเรียกชีเปลือย

ส่วนชายปลอมพร้อมหมดไม่อดอยาก................มีโยมมากเหมือนหมายสบายเรื่อย

จนหนวดงอกออกขาวดูยาวเฟื้อย......................ทั้งผมเลื้อยลากส้นอยู่คนเดียว ฯ

(พระอภัยมณีของสุนทรภู่)